สปสช. พร้อมเดินหน้าเป็นเคลียริงเฮาส์ ประสานทุกกองทุนจ่ายค่ารักษา เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สธ. เผย แนวทางดูแลผู้ป่วยหลังพ้น 72 ชั่วโมง ย้ำกลับไป รพ. ตามสิทธิ - รพ. ต้นสังกัดก่อน หากไม่มีเตียง ในภูมิภาคจัด รพศ./รพท. รองรับ ใน กทม. แบ่ง รพ. 3 กลุ่มดูแล ชี้ หากอาการหนักจนย้ายกลับไม่ได้ กองทุนสุขภาพช่วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด เหตุโอกาสเกิดน้อย
หลังจากประกาศใช้นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ หรือโครงการยูเซป เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2560 เพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตให้ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทั้ง รพ.รัฐ และ รพ.เอกชน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในช่วง 72 ชั่วโมงแรก โดยให้เบิกจ่ายตามตารางรายการและอัตราค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินวิกฤต (Fee Schedule) จากกองทุนสุขภาพที่ดูแลผู้ป่วยแทน
วันนี้ (3 เม.ย.) ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้มีวาระพิจารณาความก้าวหน้าการพัฒนาระบบบริการอุบัติเหตุ เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตตามนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของนโยบายยูเซป โดย สปสช. พร้อมเดินหน้าตามนโยบาย โดยจะทำหน้าที่ประสานข้อมูลทางการเงินเพื่อให้แต่ละกองทุนเป็นผู้จ่ายค่ารักษาตามราคากลางที่กำหนด (Fee Schedule) หรือเป็นเคลียริงเฮาส์ในระยะต้น สำหรับการเดินหน้าโครงการช่วงแรกอาจมีปัญหาบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติของการทำสิ่งใหม่ แต่ทุกฝ่ายก็จะทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่จากที่ดำเนินการมา 2 วัน ก็พบว่าเรียบร้อยดี ยังไม่มีปัญหา ส่วนการดูแลผู้ป่วยหลัง 72 ชั่วโมง จะมีการประสานตั้งแต่ต้นว่าจะส่งต่อไป รพ. ใด เมื่อครบ 72 ชั่วโมง ซึ่งบางคนอาการหนักจนไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ก็จะมีการแจ้งมายังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เพื่อพิจารณาว่ายังย้ายไม่ได้จริงหรือไม่ ซึ่งหากย้ายไม่ได้จริงๆ กองทุนที่ดูแลผู้ป่วยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลัง 72 ชั่วโมง
เมื่อถามว่า ค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่กองทุนจะดูแลได้ ผู้ป่วยต้องจ่ายเองหรือไม่ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า กรณีอาการหนักจนเคลื่อนย้ายไม่ได้หลัง 72 ชั่วโมง คงไม่ได้เกิดขึ้นเยอะ กองทุนก็พร้อมช่วยค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว ส่วนจะช่วยแค่ไหน แล้วส่วนเกินใครจะช่วย เรื่องนี้กองทุนก็ต้องช่วยอยู๋แล้ว เพราะไม่ได้เกิดบ่อย ซึ่ง รพ. เองก็พร้อมที่จะช่วย เพราะคงไม่ได้แต่จะคิดเงินอย่างเดียว
นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดระบบโปรแกรมการบันทึกข้อมูลเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ เพื่อรับข้อมูล การเบิกจ่าย ค่าบริการทางการแพทย์กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตของ รพ.เอกชนทุกแห่งแล้ว ทั้งนี้ สปสช. จะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน สปสช. เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบ และจะประชุมร่วมกับกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า เดิมทีตารางรายการและอัตราค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินวิกฤตมีกว่า 9,000 ราย และปรับมาที่ 3,358 รายการ แต่ล่าสุดที่หารือเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2560 มีรายการที่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินสีแดงที่ 2,975 รายการ แต่เพื่อให้โครงการเดินไปได้ รพ. ทั้งหมดจะรักษา และรวบรวมรายการที่รักษาให้พ้นวิกฤตทั้งหมดไว้ ซึ่งอาจไม่ได้อยู่ในรายการกว่า 2 พันรายการ เพื่อนำมาปรับปรุงในอนาคตให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น แต่ยืนยันว่า นอกเหนือจากรายการสีแดงนี้ จะไม่เก็บจากคนไข้ เพียงแต่ต้องมาดูว่าคนไข้มีกองทุนอะไรอีกหรือไม่ที่จะมารองรับ เช่น พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เป็นต้น
นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ. กล่าวว่า การดูแลหลังพ้น 72 ชั่วโมง หลักการคือจะส่งต่อผู้ป่วยกลับไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด ซึ่งสิทธิบัตรทองและประกันสังคมไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมี รพ. ตามสิทธิอยู่แล้ว ส่วนข้าราชการก็จะขอให้ รพ. ต้นสังกัดรับไปดูแล เช่น เป็นทหารเรือก็ให้ รพ.ทหารเรือ รับไปดูแล เป็นตำรวจก็ส่ง รพ.ตำรวจ เป็นต้น ส่วนกรณีไม่สามารถส่งไป รพ. ตามสิทธิ หรือ รพ. ของหน่วยงานต้นสังกัดข้าราชการได้ ก็จะมีการจัดระบบ รพ. รองรับ โดยในส่วนภูมิภาคจะให้ส่ง รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป โดยให้มีการตั้งศูนย์รับส่งกลับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ส่วนใน กทม. ซึ่งค่อนข้างมีปัญหา ได้จัดระบบโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. รพ.รัฐขนาดใหญ่ใน กทม. ที่สามารถรับผู้ป่วยได้ทุกสาขา มี 15 แห่งทุกสังกัด โดยให้ รพ.ราชวิถี เป็นศูนย์ประสาน ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีการจัดตารางเวร ว่า วันใด รพ.ใด เป็นผู้รับผิดชอบ ประกอบด้วย รพ.ราชวิถี รพ.เลิดสิน รพ.นพรัตนราชธานี รพ.ตากสิน รพ.กลาง รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี รพ.วชิรพยาบาล รพ.พระมงกุฏฯ รพ.ภูมิพลฯ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า รพ.ทหารผ่านศึก และ รพ.ตำรวจ
2. รพ. เฉพาะทางใน กทม. ในสังกัดกรมการแพทย์ 6 แห่ง ได้แก่ รพ.สงฆ์ รพ.เมตตาประชารักษ์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สถาบันประสาทวิทยา สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สถาบันโรคทรวงอก และ
3. รพ. สังกัด สธ. ในเขตปริมณฑล 7 แห่ง ได้แก่ รพ.พระนั่งเกล้า รพ.นครปฐม รพ.สมุทรปราการ รพ.สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า รพ.สมุทรสาคร รพ.ปทุมธานี และ สถาบันบำราศนราดูร สำหรับแนวทางการรับย้าย คือ โรงพยาบาลในกลุ่มที่ 1 จะหมุนเวียนรับย้ายผู้ป่วยที่ละรายจนครบรอบแล้วจึงขึ้นรอบใหม่ หากโรงพยาบาลตามคิวไม่สามารถรับย้ายผู้ป่วยได้จนใกล้ครบ 72 ชั่วโมง หากเป็นผู้ป่วยเฉพาะทางให้ย้ายไปโรงพยาบาลกลุ่มที่ 2 กรณีไม่ใช่ผู้ป่วยเฉพาะทางให้ย้ายไปโรงพยาบาลในกลุ่มที่ 3 โดยให้ไปโรงพยาบาลรัฐในปริมณฑลที่ใกล้ที่สุด โดยโรงพยาบาลที่เข้าร่วมทุกแห่งจะจัดให้มีผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ และจะบริหารจัดการให้พร้อมรับย้ายผู้ป่วยโดยเร็วหลังจากได้รับการประสาน
โดย MGR Online 3 เมษายน 2560