ผู้เขียน หัวข้อ: สธ.รณรงค์ขี่สวมหมวก ห่วงตายปีละ6พันคน  (อ่าน 1286 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
ประกาศพื้นที่สาธารณสุขทั่วประเทศ เป็นเขตสวมหมวกกันน็อค หลังพบวัยรุ่นเมิน จนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะตายปีละ 6,000 ราย ค่ารักษาพุ่งกว่า 2,000 ล้านบาท...

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และ ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทางเครือข่ายลดอุบัติเหตุ สสส. แถลงข่าว "กิจกรรมรณรงค์ทศวรรษความปลอดภัยหมวกนิรภัย 100%" ว่า ในปี 2554-2563 นี้ องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และประเทศสมาชิกกว่า 150 ประเทศ ได้ให้การรับรองคำประกาศเจตนารมณ์ปฏิญญามอสโก และตั้งเป้าลดอัตราผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลง เหลือร้อยละ 50 ภายในปี 2563 รัฐบาลไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกได้สนองตอบตามกรอบปฏิญญามอสโก ได้ประกาศให้ปี 2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน และกำหนดเป้าหมายลดอัตราการตายจากอุบัติเหตุทางถนนของคนไทย ให้ต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2563 ซึ่งมาตรการสำคัญที่ต้องเร่งผลักดันเป็นอันดับแรก คือ การส่งเสริมให้ผู้ขับขี่และซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ สวมหมวกนิรภัย 100% กำหนดให้ปี 2554 เป็นปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% และผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง กำหนดพื้นที่ของหน่วยงานเป็นเขตสวมหมวกกันน็อค 100% ฉะนั้นผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายต้องสวมหมวกทุกคน

รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ในการขานรับมาตรการดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายกำหนดให้หน่วยงานในสังกัดทั่วประเทศ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค เป็นเขตสวมหมวกกันน็อค 100% เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชน ให้หัวหน้าส่วนราชการทุกแห่งกำชับให้ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ทุกคน ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายที่เดินทางผ่านเข้าออกบริเวณหน่วยงาน ทุกคนต้องสวมหมวกกันน็อคไม่ว่าจะขับใกล้หรือไกลก็ตาม เพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และว่าในแต่ละปีมีคนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนจำนวนมาก สถิติในปี 2552 ของสำนักระบาดวิทยา มีผู้เสียชีวิต 11,751 คน เฉลี่ยวันละกว่า 30 คน สูงกว่าระดับสากลที่มีอัตราตายไม่เกิน 10 คนต่อประชากรแสนคน โดย 3 ใน 4 เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือกว่า 6,000 ราย ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตเกิดจากบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่สวมหมวกกันน็อค และยังมีผู้บาดเจ็บจากรถจักยานยนต์เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ปีละกว่า 7 แสนราย ค่ารักษาเฉพาะที่นอนโรงพยาบาลเป็นเงินปีละ 2,000 กว่าล้านบาท และครึ่งหนึ่งเป็นค่ารักษาของผู้บาดเจ็บที่ศีรษะ

นอกจากนี้ ผลสำรวจพฤติกรรมการสวมหมวกกันน็อคของมูลนิธิไทยโรดส์ใน 30 จังหวัดทั่วประเทศ ล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2553 พบว่าผู้ขับใส่เพียงร้อยละ 60 ส่วนผู้โดยสารใส่เพียงร้อยละ 30 โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนจะสวมหมวกกันน็อคน้อยกว่าผู้ใหญ่ประมาณ 3 เท่าตัว ช่วงกลางคืนจะสวมน้อยกว่ากลางวัน จึงต้องรณรงค์ให้ประชาชนผู้ใช้รถจักรยานยนต์รักความปลอดภัยมากขึ้น โดยการสวมหมวกกันน็อคและคาดสายรัดคาง จะทำให้มีโอกาสรอดตายมากกว่าคนที่ไม่สวมถึง 4 เท่า และยังมีการศึกษาพบว่าผู้ที่ไม่สวมหมวกกันน็อค จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2.2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่สวม สำหรับบทเรียนความสำเร็จของหลายประเทศ ในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุทางถนน อาทิเช่น ประเทศเวียดนาม มีการรณรงค์และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน พบว่าสัดส่วนของผู้ใช้หมวกกันน็อคเพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 95 สามารถลดจำนวนผู้บาดเจ็บที่ศีรษะลงได้ร้อยละ 47 ลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนดำเนินการ องค์การอนามัยโลกประมาณการว่าในพ.ศ. 2545 อุบัติเหตุทางถนนคร่าชีวิตคนทั่วโลก 1.18 ล้านคน เฉลี่ยวันละประมาณ 3,242 ราย มากกว่าครึ่งหนึ่งมีอายุ 15-44 ปี บาดเจ็บอีกกว่า 20-50 ล้านคน พิการตลอดชีวิตอย่างน้อย 5 ล้านคน คาดในปี 2563 จำนวนผู้เสียชีวิตและคนพิการจากอุบัติเหตุจราจรจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ขยับจากอันดับ 9 มาเป็นอันดับ 3 หากไม่มีการดำเนินงานแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง.

ไทยรัฐ
13 ธ.ค. 2553