พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข (ฉบับรัฐบาล) ใครได้ประโยชน์? การแก้ไขวิกฤตการแพทย์และการสาธารณสุข ของประเทศไทยทำได้อย่างไร
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พันเอกพิเศษ แพทย์หญิงถนอมศรี ศรีชัยกุล
พ.บ. M.Sc. Med (Penn)
ผู้เขียนเป็นแพทย์ศิริราชรุ่นที่ 59 ตั้งแต่จบแพทย์ในปี พ.ศ. 2497 ได้ใช้ชีวิตเป็นอายุรแพทย์มาทั้งหมด 56 ปี ในระหว่างปี พ.ศ. 2510-2533 ได้เป็น “ครูแพทย์” ผู้ก่อตั้งหน่วยโลหิตวิทยาในสถาบัน 2 แห่ง คือ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี (2510-2522) และที่กองอายุรกรรม วิทยาลัยแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (2525-2533) ในปัจจุบันยังเป็นแพทย์ดูแลรักษาผู้ป่วยอยู่
กาลเวลาที่ผ่านมาถึง 56 ปี มีการเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากมาย วิชาการใหม่ ๆ ได้เกิดขึ้นทำให้แพทย์สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ดีขึ้น โรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคตา มะเร็ง ได้รับการรักษาให้หายได้ในระดับหนึ่ง เป็นที่น่าชื่นชมและยินดีสำหรับผู้ป่วยและแพทย์ผู้รักษา อย่าง ไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เกิดตามมาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ – ผู้ป่วย ซึ่งเคยมีมาฉันท์ญาติมิตรได้เปลี่ยนไป แพทย์ซึ่งครั้งหนึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้ให้” ชีวิตแก่ผู้ป่วย มิได้รับการยอมรับต่อไป จากคำนิยามของทางราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เป็น “ผู้ให้บริการ” ผู้ป่วยเป็น “ผู้รับบริการ” เปรียบเสมือนการจ้างทำของ – ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ผู้นิยามศัพท์ดังกล่าวนี้คงไม่ใช่แพทย์โดยจิตใจและเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้ ความ ผูกพันระหว่างแพทย์และผู้ป่วยเลือนหายไป การฟ้องร้องเกิดขึ้นมากมาย แพทย์ถูกตัดสินให้ถูกจำคุก ผู้ป่วยถูกหลอกลวง โดยการกระทำของแพทย์ซึ่งขาดจรรยาแพทย์แม้ว่าจะเป็นแพทย์ส่วนน้อย – แต่ก็เป็นต้นเหตุให้สถานภาพของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในสังคมเปลี่ยนไปในทางเสื่อม สาเหตุ ที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากคือ ความโลภ ไม่รู้จักพอของทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ป่วย แพทย์ และสภาพสังคมซึ่งเชี่ยวกรากด้วยวัตถุนิยม ผู้เขียนได้แต่มองดูด้วยความเป็นห่วงและสะเทือนใจ เพราะในระยะอันยาวนานด้วยอำนาจของวัตถุนิยมเราได้หลงทางเดินมาไกล จนบัดนี้สถาบันแพทย์และการสาธารณสุขไทยกำลังอยู่ที่ขอบเหว
“พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข” ทำให้เกิดความหวังขึ้นว่าสถานการณ์อันเลวร้ายจะดีขึ้น จุดประสงค์ใหญ่ ๆ ของ พรบ. ฉบับนี้มี 4 ข้อ คือ
1) ต้องการชดเชยค่าเสียหายจากการรับบริการทางแพทย์แก่ผู้เสียหายอย่างรวดเร็ว โดยจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อชดเชยความเสียหายนั้น ๆ
2) ผู้ป่วยได้ประโยชน์จาก พรบ. ฉบับนี้ เพราะได้เงินชดเชยเร็วขึ้นโดยมาตรฐานบริการทางการแพทย์มิได้ลดลง
3) จะช่วยลดการฟ้องร้องระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ให้น้อยลง
4) จะเป็นการสร้างความสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้รับ (ผู้ป่วย) และผู้ให้บริการ (แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์)
พรบ.นี้มี 7 หมวด และ 50 มาตรา จากการอ่านพิจารณาดูในฐานะแพทย์ซึ่งมิใช่นักกฎหมาย มีความเห็นว่า พรบ. นี้มีข้อบกพร่องหลายประการที่จะนำไปสู่ความเสียหายแก่การแพทย์และการสาธารณ สุขของชาติ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในภาวะใกล้ล่มสลาย ความวกวน ไม่กระจ่างชัด และขัดแย้งกันเอง จะทำให้ พรบ. นี้ไม่สามารถบรรลุจุดมุ่งหมาย 4 ข้อต้นได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ข้อ 1 หมวดที่ 1 ตามมาตรา 5 ผู้เสียหายมีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยมิต้องพิสูจน์ความรับผิด
แต่ ในมาตรา 6 มีข้อขัดแย้งกันเองกล่าวคือ มีข้อยกเว้นที่นำมาใช้กับมาตรา 5 ไม่ได้ ดังนี้ คือ 1) ความเสียหายเกิดขึ้นตามปกติธรรมดาของโรคนั้น ๆ 2) ความเสียหายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐาน วิชาชีพ และ 3) ความเสียหายเมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขไม่มีผลกระทบต่อการดำรง ชีวิตตามปกติ
ข้อความในมาตรา 5 และมาตรา 6 ขัดแย้งกันเอง ในมาตรา 6 ข้อยกเว้น 3 ข้อ ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ด้วยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แต่ละสาขา ซึ่งในคณะกรรมการที่รับผิดชอบ พรบ.ฉบับนี้ไม่มีผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว การใช้ความเห็นกรรมการที่ปราศจากความรู้ทางการแพทย์ และให้ลงมติโดยการใช้คะแนนเสียง ทำให้การตัดสินเป็นไปโดยขาดหลักเกณฑ์ ปราศจากความยุติธรรม เป็นผลเสียหายทั้งแก่บุคลากรทางการแพทย์ แพทย์ และผู้ป่วย นอกจากนั้นเมื่อมีข้อยกเว้นจึงต้องพิสูจน์โดยใช้เวลา การจ่ายเงินชดเชยจึงทำไม่ได้ในเร็ววันตามที่กำหนดไว้ ผิดจุดประสงค์ใหญ่ของ พรบ. ในข้อ 1 และ ข้อ 2 การไม่ได้เงินชดเชยในระยะเวลารวดเร็วจะนำไปสู่การฟ้องร้องให้มากขึ้น กระทบกระเทือนต่อสัมพันธภาพระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ผิดเจตจำนง ข้อ 3 และ ข้อ 4
ข้อ 2 การพิจารณาจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชย ใน หมวด 4 (มาตรา 27-37) มีข้อน่าสังเกตว่า มีการจ่ายค่าชดเชยเบื้องต้น ถ้าผู้เสียหายไม่พอใจ ให้อุทธรณ์ได้ ถ้ายังไม่พอใจให้ผู้เสียหายฟ้องศาลได้ ทั้งทางแพ่ง อาญา วิ กฎหมายผู้บริโภค อยากตั้งข้อสังเกตว่า มีการ ฟ้องต่อเป็นลูกโซ่ ซึ่งมีผลเสียหายคือ การฟ้องร้องมีแต่จะมากขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้น ความร้าวฉานระหว่างแพทย์ บุคลากรทางแพทย์ และผู้ป่วย หรือผู้เสียหายฝ่ายผู้ป่วยก็จะยิ่งมากขึ้น สัมพันธภาพของแพทย์และผู้ป่วยยิ่งเลวลงเป็นลำดับ อายุความที่จะฟ้องร้องจะยืดเยื้อจากเดิม 1 ปี เป็น 3 ปี – 10 ปี การ ที่แพทย์ – บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งส่วนใหญ่พยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่ต้องมาพบผลกระทบกับคดีฟ้องร้องอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้เป็นการบั่นทอน กำลังใจ กำลังสมอง กำลังกาย ที่ควรจะนำมารับใช้ผู้ป่วยหรือประชาชน มาตรฐานการแพทย์จะลดลง การมีขบวนการไกล่เกลี่ยซึ่งอาจจะต้องใช้เงินชดเชยแก่ผู้ร้อง ใน พรบ. ฉบับนี้ไม่ได้ระบุไว้ว่าใครจะเป็นผู้จ่าย อาจเป็น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล สถานพยาบาล ที่เป็นจำเลยก็ได้ พรบ.นี้ให้อำนาจกรรมการอย่างไม่มีขอบเขตและไม่เป็นธรรม
โดยสรุป พรบ. ฉบับนี้มีผลเสียหายต่อการแพทย์และการสาธารณสุขดังนี้ คือ
1. การ จ่ายเงินชดเชยให้ผู้เสียหาย เมื่อมีข้อขัดแย้งต้องพิสูจน์โดยกรรมการที่ไม่มีความรู้ทางแพทย์ การพิจารณาไม่มีหลักเกณฑ์และอาจจ่ายให้โดยพิจารณายังไม่เสร็จเป็นการ ผลาญ เงินอย่างมหาศาล โดยการใช้เงินจากกองทุนซึ่งได้มาจากภาษีอากรของราษฎรซึ่งถูกรีดไปโดยวิธีการ ต่าง ๆ
2. คดีฟ้องร้องไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
3. ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยเลวลง นำไปสู่การฟ้องร้องมากขึ้น การรักษาพยาบาลไม่ได้ผล มาตรฐานการแพทย์ต่ำลง เพราะผู้ป่วยขาดความเชื่อถือแพทย์ แพทย์ต้องโดนทำร้ายทางจิตใจ เสียทรัพย์สิน และอาจเสียอิสรภาพ หมดกำลังใจในการดูแลรักษาผู้ป่วย
4. พรบ.ฉบับนี้ถ้าผ่านเป็นกฎหมายจะนำไปสู่การล่มสลายของการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศไทย ให้เร็วยิ่งขึ้น
อ่านต่อได้ที่ ....
http://www.facebook.com/note.php?note_id=107483142649182...