ผู้เขียน หัวข้อ: “ริว อาทิตย์” เปิดชีวิตในรพ.บ้า โดนจับมัดมือ-เท้าฉีดยาจนลืมอดีต  (อ่าน 1198 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
“ริว อาทิตย์” เปิดใจชีวิตในโรงพยาบาลบ้า เผยครอบครัวผวาพูดเรื่องเงินเป็นต้นไม้ แถมจะไปทำธุรกิจกับ “ป้าเชง” เลยคิดว่าบ้าจะจับตัวส่งโรงพยาบาล ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลกเพื่อจะใช้หนีตำรวจ ซื้อรถอัลพาร์ดไว้เป็นบ้านเคลื่อนที่เวลาหลบซ่อน แถมไปขอมอบตัวกับตำรวจเพราะอยากอยู่ในห้องขังคิดว่าในนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว สุดท้ายโดนเพื่อนหลอกให้มาเจอจะพาไปตรวจสุขภาพก่อนจะโดนจับฉีดยาสลบไป 2 วันตื่นมาอยู่ในโรงพยาบาลบ้า โดนจับมัดมือมัดเท้าฉีดยาจนเบลอลืมอดีตพูดจาไม่รู้เรื่อง ต้องอยู่ร่วมกับคนบ้าและเข้าครอสรักษา 4 ปี ลั่นไม่ได้บ้า
       
       ตั้งแต่ “ริว อาทิตย์ ตั้งสวัสดิ์รัตน์” ตกเป็นข่าวใหญ่โตโดนอดีตแม่ยายแฉเละว่าไม่ส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาและลูกตามที่ให้สัญญา พร้อมกับเปิดเผยว่า ริวมีอาการสติหลุดไปยืนแก้ผ้าด่าบริษัทโทรศัพท์มือถือแห่งหนึ่ง เพราะไม่พอใจที่คิดค่าโทรศัพท์แพง เท่านั้นไม่พอยังบีบคอภรรยาคนที่สองซึ่งคือภรรยาคนปัจจุบัน จนภรรยาต้องจับส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบเพราะริวก็หายเงียบไป
       
       แต่ล่าสุดริวปรากฏตัวในงานเปิดร้านโปรน้อง สวยเด้ง สั่งได้ด้วยปลายนิ้ว ที่ “ตุ๊กตา อุบลวรรณ บุญรอด” เพื่อนรักริวเป็นหุ้นส่วน ทำเอาทุกสายตาจับจ้องเพราะริวผูกสายสิญจน์มาเต็มข้อมือทั้งสองข้าง ทีมข่าว Exclusive บันเทิง ผู้จัดการออนไลน์ จึงไม่พาดที่จะสัมภาษณ์เปิดใจริว “บ้า” หรือ “ไม่บ้า” ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่า โดนครอบครัวจับส่งไปโรงพยาบาลบ้าจริง โดยได้เปิดเผยถึงชีวิตปัจจุบันก่อนว่าขณะนี้ทำธุรกิจอยู่ 5 บริษัท
       
       “ถ้าถามว่าตอนนี้ผมทำอะไรอยู่ ผมทำธุรกิจอยู่ 5 บริษัท ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับหัวใจหลักของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน ไฟแนนเชียล วางแผนเรื่องภาษี ดูแลกฎหมาย ดูแลเรื่องการบริการที่จะประสานงานระหว่างลูกค้าต่างประเทศกับองค์กรภาครัฐ และดีลงานกันให้ผ่านไปในกรอบกฎหมายไทย แต่ละบริษัทจะทำการซัพพอร์ทลูกค้า ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของผมจะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม จะมีทั้งลงทุนชาวไทยและต่างประเทศ ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของกลุ่มไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น”
       
       “อย่างบริษัทคัฟเวอร์ลิงค์ ก็จะดีลงานด้านธุรกิจทั้งหมด ดูด้านการเงินภาษี บริษัทแกรนด์ยูนิคอล ก็จะรับงานเฉพาะที่เป็นลูกค้ายักษ์ใหญ่อย่างล่าสุดที่ทำคือบริษัทแม็กซิสเป็นยางรถยนต์ คิดว่าอีกไม่นานก็จะเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ คือบริษัทของเราจะคิดการตลาดให้เขาตั้งยอดขายให้เขาซึ่งยอดขายที่ผมตั้งก็ไม่ได้ตั้งแต่แบบ 10 ล้าน 20 ล้าน ก็ตั้งไป 400 - 500 ล้านต่องานที่เขาจะขายได้”
       
       “ผมทำงานบนพื้นฐานของความใส่ใจ ทำงานบนแฟคเตอร์ที่มันจริงๆ ผมสามารถรวมเจ้าใหญ่ๆ มาร่วมงานได้ และทำให้งานมันยิ่งใหญ่จัดระดับประเทศ ผมเคยเสนอแนะให้ผู้บริหารทั่วโลกบินมาก็ถือเป็นงานระดับทวีป ล่าสุดก็ไปจัดที่อิมแพ็คงานครบรอบ 10 ปีแม็กซิสก็ถือว่าประสบความสำเร็จครับ”
       
       “งานของผมจะเกี่ยวข้องกับการตลาดและภาครัฐ ดีลกับกรมสรรพกร โรงงานอุตสาหกรรม ก็จับงานด้านนี้มา 10 ปีแล้วครับ ที่หายจากวงการไปก็ทำธุรกิจด้านนี้มาตลอด ผมทำงานนี้โดยที่ไม่ได้จบการตลาดหรือจบบริหารมาแต่ผมเป็นคนมีความฝัน ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดว่าทำไมเขาไม่ทำธุรกิจแบบนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนี้ แต่พอคิดไปแล้วตอนเด็กๆ เราไม่สามารถทำได้เพราะเราไม่มีเงินลงทุนเราได้แต่คิดแล้วก็บอกให้คนอื่นทำ ก็ทำให้คนอื่นรวยไปเยอะแล้ว เขาเอาความคิดผมไปทำจนรวยเป็น 100 ล้านหลายคนแล้ว”
       
       “กับข่าวที่ผ่านมามันทำให้คนมองผมในแง่ร้ายได้ ผมกลายเป็นคนเลวของสังคม แต่อยากให้มาดูสังคมของผมบ้าง มาดูคนที่เขารักผมบ้าง เขาเอ็นดูผมเขารักผม เขาให้กำลังใจผมมาตลอด แต่วงการบันเทิงไม่ได้ให้กำลังใจผมเลย ข่าวที่ลงก็เอามาลงแบบ..... พูดว่าเสียใจก็เสียใจนะ ผมก็เฮิร์ตอยู่ประมาณช่วงหนึ่งของชีวิตเหมือนกัน”
       
       “ผมอยู่วงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็กและผมก็ผูกพันกับวงการนี้มาก ผมทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจ ทำด้วยความสนุกแต่พอผมไปอ่านข่าวแล้ว...ทำไมเขามองผมแบบนั้นล่ะ จากที่เราไม่สนใจความจริงก็คือความจริง ก็มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอ่ะ แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้เวลาเราเดินไปที่ไหน มันเจอคำถาม ทำให้เราคิดว่า เขาคิดแบบนั้นกับเราจริงๆ เหรอ อ้าว...ก็แปลว่า คนที่อ่านข่าวเขาเชื่อสื่อมวลชน อ้าวตายแล้วชีวิตเราโดนตราหน้าว่าเป็นคนบ้าเป็นคนเพี้ยน ทิ้งลูกทิ้งเมียด้วย ทิ้งตรงไหนก็ยังอยู่กันหมดน่ะ”
       
       “ลูกผมก็เติบโตมาดี เรียนโรงเรียนที่ดี มีเงินใช้เรียนนานาชาติจะค่าเทอมเท่าไหร่ เขาก็อยู่ของเขาในชีวิตวัยเด็ก ผมก็รับผิดชอบช่วยกัน ปัจจุบันนี้ผมอยู่กับภรรยาคนที่สอง หลักๆ ก็คืออยู่กับลูกสาว ส่วนลูกชาย(ที่เกิดจากภรรยาคนที่หนึ่ง) ผมก็ไปหา ผมมีภรรยาสองคน มีลูก 3 คน ลูกกับภรรยาคนแรก 2 คน ภรรยาคนที่สอง 1 คน”
       
       “ผมอยู่กับภรรยาคนที่สองเราช่วยกันรวย ผมเกิดมาไม่เคยเกาะใครกิน ครอบครัวผมก็มีที่ผมก็มีก็มีมรดกที่ทางเยอะแยะ ผมยังทิ้งมรดกให้ลูกคนละ 30 ล้านเลย แต่เราอยู่กันเหมือนเพื่อนมากกว่า เขาก็ไปทำงานต่างจังหวัดผมก็ทำงานของผมต่างคนก็ต่างทำงานก็ไปๆ มาๆ บางทีลูกสาวก็อยู่บ้านกับอาอี๊ซึ่งดูแลเขาตั้งแต่เด็ก ผมกลับมาก็กอดหอมมานั่งเล่นเกมส์กัน”
       
       “ส่วนภรรยาคนที่หนึ่งเขาก็เก่งเขาก็ทำเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเสื้อผ้ายี่ห้อดังๆ ที่มีขายอยู่ตามห้าง ไม่มีใครเดือดร้อนครับ ไม่มีใครมานั่งเศร้าสร้อยเหมือนในข่าว ผมก็ไปเยี่ยมลูกกับภรรยาคนที่หนึ่งตามปกติว่างก็ไปเลย ส่วนความสัมพันธ์กับแม่ยายก็ดีครับ ตอนนั้นที่ออกมามันเป็นอารมณ์ครับ มันเป็นอารมณ์ของม่าม๊าผมก็เข้าใจอารมณ์ท่าน พอท่านโมโหปรี๊ดไปทีนึงผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
       
       โต้ไปยืนแก้ผ้าด่าบริษัทมือถือที่คิดค่าบริการแพง แต่ยอมรับว่าครอบครัวมองว่าบ้า เพราะพูดเรื่อง “เงินคือต้นไม้”
       
       
       “จะบ้าเหรอถ้าผมไปแก้ผ้าที่นั่นเขาก็ต้องมีกล้องวงจรปิด ก็ต้องมีภาพออกมาสินี่ไม่เห็นมีรูปออกมาเลย ข่าวไม่เห็นจะมีมูลเลย ถ้าจะแก้ผ้าก็คงจะแก้ผ้าอยู่ในห้องส่วนตัว(สรุปช่วงชีวิตเราเคยเพี้ยนเคยบ้าไหม) ไม่มี มีแต่คนมองว่าผมเพี้ยนเขาก็จับผมเข้าโรงพยาบาลและเขาก็ฉีดยาผม(ใคร) ก็ทุกคนน่ะ พอผมเข้าโหมดของธรรมชาติก็โดน”
       
       “ก็ธรรมชาติน่ะพี่เคยไหมตอนเด็กๆ ฝนตกแล้วแก้ผ้าวิ่งไปเล่นน้ำฝน แต่ผมไม่ได้ทำถ้าผมทำอย่างนั้นตำรวจก็จับผมเข้าคุกสิ แต่ผมจะชอบพูดแบบว่า เงินทองมันทำมาจากต้นไม้ มันคือกระดาษ กระดาษก็คือเงิน มันมาจากต้นไม้ ผมก็พูดแบบนี้ ทำไมจะต้องมาให้ความสำคัญกับกระดาษ ทำไมจะต้องให้ความสำคัญกับคำว่าเงินด้วย แล้วทุกวันนี้ทุกคนนั่งดิ้นรนค้นหาตัวเองไปแย่งชิงกระดาษกัน ก็พูดให้คนอื่นฟังพูดแล้วก็ขำ เขาก็มองว่าผมความคิดแตกแยก ผมก็แบบ...ก็ดีเนอะเอากระดาษไปแลกกับยางพารา แล้วยาพาราคืออะไร ก็ล้อรถยนต์ผลิตมาจากยางพารา เขาก็มองว่าผมบ้าแล้ว”
       
       “ผมถามหน่อยเงินทำมาจากระดาษใช่ไหม แล้วกระดาษมาจากอะไร ต้นไหมใช่เปล่า แล้วไปแลกกับอะไร ไปแลกกับรถยนต์ รถยนต์คืออะไร เหล็ก แร่ธาตุเหล็ก ดีบุก แก้ว อลูมิเนียม ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่บนโลกทั้งนั้นเลย เรื่องนี้พวกนี้มันอยู่ในใจเราอยู่แล้ว ผมพูดในมุมมองของผม ก็เอาต้นไม้ไปแลกยางพารา ก็พูดลอยๆ ของเราไปไม่ได้อธิบายเขาก็หาว่าผมบ้า ก็เลยจับเข้าโรงพยาบาลฉีดยากล่อมประสาท ยานอนหลับ ยาคลายเครียด ทำให้สมองผมเบลอ พูดช้า ลิ้นรัว เพ้อๆ เพี้ยนๆ นี่เพราะโดนฉีดยาเยอะ ผมโดนจับมัดเข้าเตียง ผมก็บอกจะบ้าเหรอไม่ได้เป็นอะไร ยิ่งบอกว่าไม่บ้าก็แปลว่ามึงต้องบ้า เขาหาว่าคนบ้ามันไม่ยอมรับว่ามันบ้า”
       
       “แล้วหมอก็ขู่ว่า ถ้าไม่ทำตามครอสรักษาจะไม่ให้ออก ผมก็รักษาไป 4 ล้าน ผมยอมให้หมอฉีดยา ผมไปอยู่โรงพยาบาลเต็มๆ 1 เดือน แต่ต้องอยู่ในความดูแลของหมออีก 4 ปี ผมต้องเข้ามารับยาเพราะถ้าไม่เข้าหมอจะไม่เซ็นให้ป็นคนปกติ”
       
       “วิธีการรักษาก็คือฉีดยา ไปอยู่ที่นั่นเราก็นอนไม่หลับเพราะไม่ใช่ที่ของเราเขาก็มาฉีดยา ให้กินยานอนหลับสมองผมก็เบลอสิครับ ผมก็โวยวายแหละเพราะเราไม่ได้เป็นอะไร เราก็อยากออกเราไม่อยากอยู่ คือเราปกติแล้วให้ไปอยู่กับคนบ้าจริงๆ เราก็จะบ้าตาย แรกๆ เข้าไปนี่โดนมัดเลย มัดแขนมัดขาเพราะเราอยากออกไปข้างนอก อยากออกไปเที่ยว อยากออกไปหาลูกคิดถึงลูกแต่มันไปหาไม่ได้มันเจ็บปวดนะ พอเราร้องไห้หมอก็บอกว่าซึมเศร้าให้ยามาอีก โอ๊ย...ตายไม่ต้องมีสติสตางค์กันเลย”
       
       “ทุกวันนี้ผมไม่กินยาแล้ว จริงๆ ไม่กินมานานแล้วแต่ผมโกหกหมอว่าผมกิน ตอนนี้ยามันก็ยังกองอยู่ที่บ้านอยู่เลย ทุกวันนี้ถ้าผมไปหาหมอเขาก็ต้องสั่งยาให้กิน แต่ผมไม่กินจะกินทำไมเพราะเราเป็นปกติ”
       
       อยากลงทุนทำธุรกิจกับ “ป้าเชง” ทำให้ครอบครัวและทุกคนมองว่า บ้าแน่ !
       “ช่วงนั้นผมอยากทำธุรกิจที่ต้องใช้เงินและมีโอกาสได้รู้จักป้าเชงด้วย น่าน..เดี๋ยวป้าเชงก็โดนอีก(หัวเราะ) คือป้าเชงเขาทำน้ำหมักชีวภาพ ผมก็เข้าไปศึกษาว่าเขาทำยังไง ตอนนี้ก็มีคนเอาไปทำแทนป้าเชงก็รวยกันไป แต่ป้าเชงกลับถูกมองว่าบ้าทำไม่ถูกต้องป้าเชงคิดเองเออเอง พอผมจะไปทำกับป้าเชงทุกคนก็มองว่าผมบ้า”

หนีหัวซุกหัวซุน เพราะครอบครัวจะจับส่งโรงพยาบาลบ้า ถึงขั้นไปมอบตัวกับตำรวจ ขอไปนอนในห้องขังเพราะรู้สึกว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย !!
       
       
       “เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ครอบครัวมองว่าผมบ้า ทุกคนก็มองว่าผมบ้า จริงๆ ผมก็เป็นเหมือนเด็กคนหนึ่งที่นิสัยปัญญาอ่อนยังไม่โตทำตัวแง้วๆ เหมือนเล่นกับลูกผมก็จะเล่นเหมือนเด็กว่ายน้ำรู้เรื่องกันสองคน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดไหนที่ทำให้คนมองว่าเราเพี้ยน แต่ที่แน่ๆ ทุกคนวางแผนจับผม เพราะผมไม่เชื่อใคร เขาหาวิธีจับผมจ้าละหวั่นทั้งเมือง”
       
       “ตอนนั้นผมออกจากบ้านมาพักนึงแล้วผมกลัว ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจ้องจะจับผมส่งโรงพยาบาล เขาเคยเอารถฉุกเฉินมาถึงที่บ้านเลย หมอพยาบาลมาถึงที่ผมไล่ออกไปเลย อย่านะ อย่าเข้ามา ผมไม่ได้เป็นอะไร ยิ่งบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาก็ยิ่งหาว่าผมบ้า ผมก็หนีออกจากบ้านไปเลย หนีสิ ไม่หนีก็โดนจับสิ”
       
       “ผมยังเข้าไปมอบตัวที่โรงพักเลย ทำไมไล่จับผมกันจัง ผมไม่ได้เป็นผู้ร้ายนะ ผมไปมอบตัวที่สถานีวังทองหลาง ตำรวจเขาถามว่า แล้วคุณทำผิดอะไรมา ผมก็บอกว่า ผมไม่ได้ทำผิดผมเป็นคดีแต่ขอไปอยู่ในห้องขังได้ไหม เพราะข้างนอกมันไม่ปลอดภัย เพราะเขาจะจับผมเข้าโรงพยาบาล ผมขอเข้าไปอยู่ข้างในเงียบๆ ได้เปล่า อย่าไปบอกใครว่าผมอยู่ในนี้นะผมขอหลบซ่อนตัวแป๊บนึง ตำรวจเขาก็ไม่ได้จับผม เขาให้ผมไปนั่งเล่นเกมส์ฟุตบอลอยู่ในห้องพักจนเช้า ผมไม่กลัวคนอื่นมองว่าบ้า แต่ไม่รู้จะไปไหนแล้วพึ่งตำรวจดีกว่า เช้ามาตำรวจก็บอกเช้าแล้วกลับบ้านที่บ้านเป็นห่วงแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้ากลับกลัวจะโดนจับเข้าโรงพยาบาล”
       
       วางแผนหนีการจับส่งโรงพยาบาลสุดชีวิต ลงทุนซื้อมอเตอร์ไซค์ความเร็วสูงไว้หนีตำรวจ ซื้อรถตู้ไว้เก็บของหลับนอน แค่อาทิตย์เดียวหมดเงินหลายล้าน
       
       
       “ผมก็ไปเที่ยวของผม ไปเที่ยวทะเล(ไปคนเดียว) เอ๋า...ก็คนอื่นจ้องจะจับอยู่เนาะ(หัวเราะ) แล้วผมจะไปกับใครล่ะ โทรศัพท์ผมก็ทิ้ง ทิ้งหมดเลยผมไม่เอาเดี๋ยวคนตามได้ ตอนนั้นผมเซ็นเช็คไว้มั่วเลย วางแผนกับตัวเองไว้ว่า จะต้องมีรถคันใหญ่ 1 คันไว้หนี ก็เลยซื้อฮายาบูสะเป็นรถที่แรงที่สุดในโลก เพราะจะหนีได้เร็วที่สุด ออกได้เร็วที่สุด ใครก็ตามไม่ได้ ตำรวจก็ตามไม่ได้ ตำรวจไม่กล้าขับเกิน 250 อยู่แล้ว แต่ผมไปได้เพราะรถผมขับ 300 ได้ รถยนต์ก็ตามต้องหาที่ไม่เป็นที่จุดเด่น ผมก็ซื้อรถตู้อัลพาร์ด เพราะมันเปลี่ยนเสื้อผ้านอนในรถได้มันเป็นเหมือนบ้านเคลื่อนที่ ผมก็เซ็นเชคไว้ให้เขาเตรียมรถไว้แต่งรถไว้เพื่อเตรียมหนี เดี๋ยวผมจะมาเอารถ ก็เซ็นๆ ไว้เลย แค่อาทิตย์เดียวผมใช้เงินหมดไปหลายล้าน”
       
       “พอจะหนีผมก็ไปเอารถ แล้วมอเตอร์ไซค์ผมก็เอาไปซ่อน เผื่อเวลาเบื่อขับรถก็ใส่หมวกกันน็อคไม่ให้ใครเห็น ต่อมาผมก็ทิ้งรถด้วยนะ ทิ้งรถอัลพาร์ดจอดทิ้งไปเลยพวงกุญแจก็ทิ้งทิ้งหมด ประตูก็ไม่ได้ล็อกของก็อยู่ในรถนั่นแหละ เขาก็ตามรถกันจนเจอนะ แต่ผมน่ะไปไกลแล้ว ไปอยู่ในที่พักผ่อนของผมไปในมุมของผม ผมมีแหล่งกบดานของผม แต่ไม่บอกว่าที่ไหน บอกไม่ได้เป็นความลับแต่ผมเหมือนเด็กผมเล่นเหมือนเด็ก”
       
       หนีไม่รอด ถูกจับเข้าโรงพยาบาล ฉีดยาจนเบลอจำใครไม่ได้ลืมอดีต กลายเป็นหัวโจกของกลุ่มผู้ป่วยด้านจิต ล้างแค้นครอบครัวที่จับส่งโรงพยาบาลโดยการสั่งอาหารมาเลี้ยงคนป่วยเดือนเป็นล้าน
       
       “เขาติดต่อผมไม่ได้ แต่ผมก็ติดต่อคนอื่นได้นะ ผมซื้อเบอร์อื่นโทรไปหารุ่นพี่เพื่อที่จะตามข่าวว่าที่บ้านเป็นยังไงบ้าง คือผมอยากรู้ว่าที่บ้านถึงไหนแล้ว เราก็ต้องสืบข่าวเพื่อที่จะก้าวนำไปกว่าเขา รุ่นพี่เขาก็หักหลังผม นัดเจอผมว่าจะไปเจอที่ซอยนี้ เพราะผมไม่ให้ใครเห็น เขาก็นั่งรถเบนซ์มา พอผมก้าวขึ้นรถเบนซ์ก็มีรุ่นพี่ที่ผมไว้ใจ 4 คนมารวมตัวกันเต็มเลย ผมก็บอกดีๆ เดี๋ยวไปกินข้าวกันดิ ปรากฏว่าเขาก็นั่งปิดไม่ให้ผมลงไปไหน แล้วผมก็เอะใจแล้วจะพาไปไหนเนี่ย เขาก็เนียนกันไข้ขึ้นเปล่าไปเชคให้พี่สบายใจหน่อยสิว่าร่างกายโอเคไหม ผมก็ทำไมจะต้องไป จะพาไปโรงพยาบาลใช่ไหม ก็โวยวายละ เขาก็บอกเฮ้ย..ใจเย็นๆ ทำเพื่อพี่ได้ไหม พี่เป็นห่วง พี่รัก ผมก็เอ้า...ทำเพื่อพี่ก็ได้ ผมเข้าโรงพยาบาลไปเชคก็ได้”
       
       “ไปถึงผมโรงพยาบาลมันหรูมากไม่รู้สึกว่าเป็นโรงพยาบาล หมอก็ไม่ได้แต่งชุดเป็นทางการมาก ไปถึงพยาบาลเขาก็ฉีดยาผมไปหนึ่งเข็ม ซึ่งเขาเตรียมกันมาแล้วผมไม่รู้ ผมสลบไปสองวัน ตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมมีกล้องวงจรปิด กูอยู่ไหนเนี่ย เราก็อ้าว..ทำไมโดนขังแบบนี้ แล้วไมผมต้องเล่าหมดเนี่ย(หัวเราะ) คนอื่นฟังก็สนุกแหละ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พูด(แล้วไงต่อ) ถามต่ออีก ก็อยู่ในครอสการรักษาโดยที่ไม่เต็มใจ”
       
       “ยาเขาแรงมากทำให้เราลืมได้ ลืมอดีตไปเลย ช่วงที่รักษายาเขาทำให้ผมจำอดีตไม่ได้นึกไม่ออกเลยเจอคนรู้จักก็ยังนึกว่าไม่รู้จัก จนเขาบอกว่าจำไม่ได้เหรอ พี่ไงๆ ผมก็ไม่รู้ใครอ่ะ สมองเรามันโดนล้างขนาดนั้น คนที่มาเยี่ยมก็ยิ่งคิดว่ามันบ้าจริง มีบอดี้การ์ดดูแลผมด้วยนะ”
       
       “ผมก็อยู่ที่นั่นเป็นเดือนก็นั่งดูคนที่เพี้ยนๆ ในนั้นจะมีห้องส่วนตัว มีเวลาที่ออกมาเที่ยวมานั่งรวมกัน เวลาออกมาห้องโถงก็จะมีคนแบบจิตหลายประเภท ผมก็นั่งดูดิแต่ละคนเป็นยังไง บางคนก็ไฮเปอร์แอ็คทีฟบ้าบอคอแตก ตรงนั้นร้องเพลงเสียงดัง อีกคนก็เอาหนังสือมาอ่าน แต่เอาหนังสือมาติดหน้าเลยนะ บางคนก็เดินจงกลมถือลูกประคำเดินกันไปมา ผมก็นั่งดูพวกเขา”
       
       “ผมมีเพื่อนด้วยนะ ผมเป็นหัวโจกในนั้น ไปถามมาดูสิรุ่นนั้นเขาจะรู้จักผมหมด เพราะผมจะสั่งของมากินเยอะสงสารเขาไง คืออยู่ในนั้นผมใช้เงินอะไรไม่ได้นะ แต่อยากกินอะไรกินได้หมดยกเว้นสิ่งมึนเมา ผมก็จะสั่งอาหารเละเลย เช็คบิลมาเดือนเดียวก็ล้านกว่า เพราะผมสั่งเลี้ยงทุกคนเลย นั่นแหละอยากจับผมเข้าไปนัก”
       
       “1 เดือนที่อยู่โรงพยาบาลผมโกรธทุกคนหมดเลยเพราะจับผมเข้าโรงพยาบาล ผมไม่ให้ใครมายุ่งโกรธเป็นอารมณ์งอน ทำไมต้องจับเราแบบนี้มันเสียใจเจอหน้าแล้วแบบโกรธ พอวันที่ออกมาก็เจอหมดทุกคนเขาก็กลัวผม กลัวว่าเข้าบ้านแล้วผมจะเป็นยังไง อาการจะเหมือนคนปกติหรือเปล่า เขาก็สังเกตและหวาดระแวงเรา ผมจะทำอะไรผมจะพูดอะไรเขาก็คิดว่าผมจะทำอะไร”
       
       “เขาเป็นแบบนี้อยู่ 3 จะ 4 ปีเต็มๆ จนผมไม่ไหวแล้วนะ ผมทนอย่างนี่ไม่ได้แล้วนะ คุณคิดว่าผมบ้าใช่ไหม เอาไหมเดี๋ยวผมทำอะไรให้ดู ว่าคนบ้าน เขาทำได้ไหม ผมก็ทำธุรกิจให้เขาดู ทำอะไรก็ได้ที่ให้ได้เงินเร็วๆ แล้วผมก็ทำได้เขาก็ค่อยเริ่มโอเค แต่เกือบ 4 ปีที่ผ่านมาผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะหมอไม่ให้ทำอะไรเขาบอกว่าผมเป็นคนไข้ตรรกะความคิดคุณไม่ถูกต้องทำอะไรแล้วอาจจะพลาด ตอนนี้พึ่งจะพ้น 4 ปีก็ทำได้ คือคนป่วยแบบนี้จะโดนตีตราว่าเป็นคนบ้า ไปเจอใครเขาก็หวาดระแวงน่าสงสารนะ"
       
       “ชีวิตครอบครัวตอนนี้ก็เป็นปกติแล้ว ลูกคนโต 11 คนกลาง 10 คนเล็ก 5 ผมก็เข้าออกสองบ้านได้ปกติไม่มีอะไรเพราะเราเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้ถือว่าเราต้องเป็นผัวเป็นเมียไม่ใช่เลย ทุกวันนี้ไม่มีเมียบอกได้เลย(ไม่มีได้ไงตอนนี้อยู่กับภรรยาคนที่สอง) เราไม่เรียกว่าเมีย ทุกวันนี้เราเรียกว่าเป็นเพื่อน เราคุยแบบเป็นเพื่อนกันจริงๆ เราอยู่กันบนความรู้สึกนี้(งี้เราก็ไปมีคนอื่นได้สิ) จะบ้าเหรอ...ใครจะไปทำอย่างนั้นได้ล่ะ มันมีบทบาททางสังคมอยู่ มันไม่มีใครที่จะบ้าเรื่องประเภทนี้หมกมุ่น มีแต่เรื่องจะไปเที่ยวไหน กินอะไร ทำงานนี้เสร็จยัง งานนี้เสร็จเมื่อไหร่ว่างพร้อมกันก็พาน้องๆ ออฟฟิศไปกินข้าว น้องๆ คนไหนทำงานได้ดีก็ซื้อบ้านให้ซื้อรถให้ จริงๆ ที่บริษัทผมเป็นแบบนี้จริงๆ”
       
       “ผมไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีความอ่อนไหว อ่อนโยน มีความรัก มีความรู้สึกต้องดูแลมีความผูกพัน มีความรักที่จะมีให้ลูก มีความรักที่จะมีให้แม่ มีความน้อยใจถ้าเขาไม่รักเรามันเป็นปกติของทุกคน แต่แค่ว่าการทำงานของผมมันอยู่ในโลกความคิดจินตนาการ และก็เอาจินตนาการของตนเองไปถ่ายทอดให้คนอื่น ให้คนเดินแบบนั้น ชี้แบบนั้น เดินแบบนี้ ทำแบบนี้จะชนะอย่างโน้น จะได้อย่างโน้น ยิงนกนัดเดียวได้นกกี่ตัว”
       
       วันนี้ “ริว” มาร่วมงานโดยที่มีสายสิญจน์ผูกมาเต็มสองข้อมือ ทำให้อดที่จะถามไม่ได้ว่าเจ้าตัวไปทำอะไรมา กลายเป็นคนทรงเจ้าแล้วหรือเปล่า
       “ไม่มีผมไม่มีเรื่องนั้น สายสิญจน์อันนี้ไปทำบุญไปสร้างวัดที่สุรินทร์ ประเพณีที่นั่นก็เหมือนมีการเรียกขวัญขอบคุณสาธุอนุโมทนาที่เราได้ไปทำให้เขา แต่คนก็อาจจะคิดไปว่าผมบ้า แต่จริงๆ คือผมไม่อยากจะตัดเพราะยายแก่ๆ ตั้งร้อยกว่าคนที่ผูกให้เรา แล้วเราจะไปตัดความรู้สึกนี้ทำไม เราอยากเก็บไว้ในความทรงจำ เขาพึ่งผูกผมไปเมื่อวานเอง”
       
       “มางานในวันนี้คนก็มอง ถ้าเขามองว่าผมบ้าก็ขำดี ผมว่าคนที่มองว่าผมว่ามาคุยกับผมดีกว่า ผมจะดูว่าความคิดเขาใช้ชีวิตแบบไหน ผมจะดูว่าชีวิตคุณอยู่แค่ไหน ก็ไม่ได้แคร์ถ้าใครจะคิดแบบไหน ถ้าใครอยากจะรู้ว่าชีวิตผมเป็นยังไงก็เข้ามาดูที่เฟซบุ๊คผม ริว อาทิตย์ ไปดูเลย ท้าคนทั้งประเทศเข้าไปดูเลย ยินดีต้อนรับครับ”
       
       พอสัมภาษณ์ปัญหาที่คาใจมา 4 ปีเสร็จว่า “ริว” บ้าไม่บ้า เราก็ยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณในการสัมภาษณ์ ด้านริวไหว้กลับและยิ้มถามว่า “สวัสดีครับพี่ สบายดีนะครับ” เล่นเอามึนไป 10 วินาที ก่อนจะแหย่กลับไปว่า “ตกลงบ้าหรืออำเนี่ย ?!” ทำเอาริวหัวเราะลั่น ทิ้งเป็นปริศนาอีกแล้ว......

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ตุลาคม 2556