ผู้เขียน หัวข้อ: รื้อระบบแพทยาธิปไตยในงานพัฒนาเสียที….  (อ่าน 2527 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด

10 กว่าปี ที่ สำหรับงานที่ต้องเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง ทุกจังหวัดที่มีพี่น้องนักพัฒนาทำงาน ทำให้ได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง เรื่องราวสุขๆทุกข์ๆ ตามลำดับของความผูกพันและก็มีเรื่องเดียวที่สะท้อนใจคล้ายๆ ในทุกๆ ที่ ที่ทำให้คนทำงานท้อแท้มากที่สุด อ่อนหล้าและเลิกล้มชีวิตการทำงานบนเส้นทางนี้ หมายความว่า ปัจจุบันคนทำงานพัฒนาทยอยละเลิกอุดมคติการทำงานเพื่อมวลชน เพื่อชุมชน เพื่อพัฒนาสังคมไปเกือบหมดก็เพราะ ปัญหาเรื่องเงินทุนสนับสนุน

มันช่างเป็นเรื่องปวดร้าว ที่คนทำงานพัฒนามาเกือบทั้งชีวิตหรือกว่าหนึ่งของครึ่งชีวิต แต่วันหนึ่งต้องผันตนเองมาปลูกผัก เลี้ยงหมู ขายก๋วยเตี๋ยว ขายกาแฟ หรือข้าวแกง มีชีวิตบั้นปลายที่ลำเค็ญ แต่หลายคนกำลังมีไฟเพราะเพิ่งอยู่ในวัย 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ แต่ก็ต้องพับเก็บสิ่งที่เรียกว่า อุดมการณ์เพื่อสังคมไป

ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่คนมีอุดมการณ์จริงๆ จังๆ ไร้ที่ยืนหมดทางเดิน ยุคของคนที่ทำงานจริงจังฝังตัวกับพี่น้องชาวบ้าน กับคนชายขอบกำลังจะหมดไป เหลือแต่คนที่เขียนโครงการเก่งๆ หว่านล้อมเป็น พูดจาสร้างภาพเป่าหูดูดี ยุคที่ NGOs ออกสื่อสุขสบาย ยุคที่ระบบคุณธรรมในวงการพัฒนาเสื่อมถอยเหลือแต่ระบบถ่อยๆ ที่เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้นเส้นสาย เล่นพรรคเล่นพวกและเคลือบแคลงผลประโยชน์ทับซ้อนกับแหล่งทุน ซึ่งองค์กรใหญ่สุด ณ เวลานี้ ก็คือ สสส. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รองๆ ลงมาก็เป็น พอช. หรือ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน) ซึ่งระยะหลังๆ พอช. ที่ตัดข้ามกลไกคนทำงานพัฒนาแล้วผันไปทำงานกับชุมชนโดยตรงไปเลย

ความอดสูและอับจนใจจนต้องทดท้อและยอมถอยก็เพราะขบวนการหมอเข้ามาควบคุมระบบการกระจายทุน ทำให้งานพัฒนาปัจจุบันอยู่ภายใต้กรอบคิดหมอที่แสนคับแคบ เพ้อฝัน เป็นนามธรรมและไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ใครๆ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ชมชอบแต่คำสดุดี เยินยอ ทำให้ 10 ปีขององค์กรแหล่งทุนอย่าง สสส.หรือ พอช. จึงเต็มไปด้วยบริวารผลประโยชน์ มีทั้ง NGOs บริวาร อบต. และชุมชนบริวาร โดยไม่มีเสียงสะท้อน ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ทัดทาน ตีแผ่วิจารณ์อะไรได้เลย ยิ่ง สสส. ในระยะหลังๆ เอาเงินภาษีจากคนบาปจำนวนมหาศาลไปละลายแม่น้ำ อาทิ โครงการให้เงินเดือน นายกฯ อบต. เดือนละ 30,000 บาท  หรือ สนับสนุนกิจกรรมคลื่นมนุษย์ (Human wave) หรือที่เรียกกันว่าเล่นเวฟ ออกทีวีไม่รู้หมดไปเท่าไหร่  เมื่อตอนวันสงกรานต์ สวนทางกับสภาพคนทำงานพัฒนา องค์กรชุมชน ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ที่ทยอยปิดโครงการปิดตัว หรือบางองค์กรก็ต้องหันมาประกอบอาชีพใหม่ หารายได้เสริมเพื่อเอารายได้มาทำงาน มาหล่อเลี้ยงอุดมคติ

ความน่าอัปยศของแหล่งทุนสนับสนุนงานพัฒนาในประเทศไทยที่บริหารเงินภาษีประชาชนแบบมีอคติ เลือกปฏิบัติ ขาดการรับฟัง ไม่เปิดกว้างรับความคิดเห็นจากกลุ่มอื่นๆ คนอื่นๆ  โดยเฉพาะที่ไม่ใช่กลุ่มหมอ และที่สำคัญใช้ไปเพื่อสนองทิศทางความคิดของตนฝ่ายเดียว ผ่านพรรคพวกบริวารของตนมากกว่ากระจายให้ทั่วถึง เสมอภาคและเพื่อกระตุ้นให้สังคมเกิดกลุ่ม องค์กรเกิดโอกาส เกิดความเท่าเทียม  เกิดความเข้มแข็ง เกิดการถ่วงดุลตรวจสอบกันและกันในสังคม ทำให้งานพัฒนาปัจจุบันที่ถูกสนับสนุนโดย สสส. หรือ อื่นๆ กำลัง กลายเป็นขบวนการงานพัฒนาแบบโป๊งๆ ฉึ่ง ฉาบฉวยมีแต่สีสัน มากขึ้น หลา่่ยงานเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หวือหวา จนกำเนิด NGOs Event รุ่นใหม่ๆ เต็มบ้านเต็มเมือง ที่ทำงานเน้นการสร้างภาพ กลายเป็น NGOs ไม่ติดดิน มองข้ามความสนใจแก้ไขปัญหาสังคมเชิงรากฐาน อีกทั้งไม่เข้าใจปัญหาสังคมที่เกิดจากโครงสร้าง ที่ขาดความเสมอภาคเท่าเทียมเป็นธรรม

ในขณะที่กระบวนการเข้าถึงเงินทุนของ สสส. ในปัจจุบัน กำลังกลายเป็นเรื่องเกินกำลัง เกินสติปัญญา สำหรับองค์กรรากหญ้า หรือเอ็นจีโอขนาดเล็กไปแล้ว เพราะกว่าจะยื่นเข้าผ่าน กว่าจะฝ่าด่านการถูกซักถาม ปรับแก้ และกว่าจะผ่านการตรวจสอบการบริหารการใช้จ่ายอย่างละเอียด พร้อมรายงานอย่างยาก เหมือนกับมีมาตรฐานระดับสูง (โดยไม่ทราบว่ามาตรฐานเดียวกับ NGOs หมอหรือเปล่า ?) ทำให้องค์กรชาวบ้าน NGOs ขนาดเล็ก ต่างหวาดกลัว เข็ดขยาดไปตามๆ กัน แต่ในตัวองค์กร สสส. กลับไม่เคยให้ใครเข้าไปตรวจสอบ ? และไม่เคยชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ ว่าบริหารเงินภาษีประชาชนไปอย่างไร สมเหตุสมผลและตรงตามความต้องการของหรือประชาชนหรือไม่

ทำให้นักพัฒนาหลายคนมีสรุปตรงกัน หลังจากที่ติดตาม เฝ้ารอ วาดหวัง ไปจนถึงมีโอกาสได้ไปสัมผัส ชนชั้นหมออำมาตยาที่ควบคุมทิศทางเงินทุนอันมาจาก “ภาษีของประชาชน”   ว่า  “หากใครต้องการโอกาสเข้าถึงเงินทุนที่เหล่าหมอๆ หรือพวกอำมาตยา นั่งควบคุมบงการอยู่นั้น ต้องรู้จักท่องคาถา 9  ข้อ”   นี้ให้จงได้ คือ

1 )  ศรัทธาในระบบแพทยาธิปไตย 
2 ) พร่ำพรรณนาถึงความดีงามของสังคม ความพอเพียงประณามอบายมุข ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ย้ำคิดย้ำทำย้ำสนใจแต่เรื่องสุขภาพตัวเองเป็นหลัก
3 ) ใช้เงินทุนอย่างไรก็ได้ ขอให้ป้ายแหล่งทุนได้ ออกออกทีวี ดูดี…
4 )  ต้องเข้าใจและใช้ทฤษฎี สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาในการอธิบายสังคม และต้องเอ่ยถึงเจ้าของทฤษฎีสามเหลี่ยม อย่างซาบซึ้งหาที่สุดมิได้
5 ) หัดสมาสคำไทยให้เป็นให้เท่ห์ เข้าใจยากแต่ฟังไพเราะ อาทิ ธรรมาธิปไตย การจัดการองค์ความรู้ สังคมสมานุภาพ ฯลฯเป็นต้น   
6 )  คบกับหมอ เชิดชูหมอ บูชาหมอ กราบไหว้และต้องให้หมอมาเป็นประธานหรือที่ปรึกษา กลุ่ม องค์กร ของตนเอง…จะดีที่สุด !! 
7 ) ต้องหัดพูดจาให้หมอฟังได้ ไม่ระคายหู ไม่ระคายตา เห็นภาพสวยหรู ดูดีขึ้นป้าย แปะสติกเกอร์ โลโก้ คำขวัญ ทุกซอกทุกมุม ทุกอาณาบริเวณชีวิต 
8 ) อาจจะต้อง มีรูปหมอ หรือบุคคลสำคัญในแหล่งทุน หรือที่แหล่งทุนเคารพนับถือแขวนไว้บนหัวนอน ในห้องทำงาน ในสำนักงาน เพื่อเป็นศิริมงคลต่อเนื่อง ด้านเงินทุน 
9 ) ศรัทธาสุดใจ โดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ตั้งคำถาม ใดๆ ทั้งสิ้น

10 ปี สสส. องค์กรแหล่งทุนแห่งเดียวของประเทศที่ใหญ่ที่สุด กำลังกลายเป็นขุมทรัพย์มหาศาลของเหล่าหมอๆ ที่วางมือจากเข็มฉีดยามาทำงานพัฒนา จนหมอนักวิพากษ์บางรายถึงกับปริปากว่า รักษาคนไข้แทบตายยังไม่รวยไวเท่ามาเป็น NGOsเลย…

ดังนั้น หากเป็นไปได้ คงจะถึงเวลาแล้วสำหรับการตั้งคำถามองค์กรแหล่งทุนของประเทศนี้ ทุกแหล่งทุนที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนา ทั้ง สสส. พอช. สกว. ว่าควรจะให้ประชาชนหรือมีกระบวนการกำหนดทิศทางแบบส่วนร่วม มากกว่านี้ ได้หรือยัง ? และควรจะเปิดเผยให้ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ โดยทราบทั่วกัน เพราะนั่นคือเงินภาษีของประชาชน !!   

จริงอยู่ นักแสวงบุญ กับหมออาจจะคิดตรงกันว่า นี่คือเงินบาป หรือภาษีบาป ที่หักเอาจาก บุหรี่ เหล้า แต่ก็ภาษีของประชาชน ที่ประชาชนควรจะมีสิทธิ์เข้าถึง รับรู้และมีสิทธิ์ร่วมกำหนดจุดหมาย ทิศทางการใช้ประโยชน์ และที่สำคัญ การเสริมสร้างให้องค์กรรากหญ้า หรือ NGOs ขนาดเล็กเข้มแข็ง ถือว่าสำคัญ มิใช่เน้นยุทธศาสตร์ “ตอนหรือทำหมัน”NGOs ไทยโดยเฉพาะสายหัวก้าวหน้า !!”  ทำให้ชะตากรรม NGOs เมืองไทยบางสาย ที่มิใช่สายประชาคม ไม่ใช่สายหมอ ย่ำแย่และเสื่อมหายตายลงทุกวัน ท่ามกลางสภาพสังคมที่ผันแปรหลากหลายปัญหาที่กำลังรุมเร้าสังคม ซึ่งต้องการองค์กรหลากหลายลุกขึ้นมาดูแล ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องทุ่มพลังทุ่มทรัพยากรสร้างองค์กร สร้างความเข้มแข็งหลากหลาย สร้างภารกิจต่างๆ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน สร้างสรรค์สังคม

การรื้อปรับโครงสร้างและภารกิจองค์กรแหล่งทุนอย่าง สสส. หรือ พอช. ตลอดจนทุกแหล่งทุนที่ใช้เงินภาษีประชาชน ร่วมถึงการขยายหรือเพิ่มกระบวนการใหม่ๆ เปิดรับความคิดเห็นอื่นๆ จึงจำเป็นเร่งด่วนมากในยามนี้ เพื่อระดมทรัพยากรไปลงทุนในสังคม เพื่อฟื้นฟูรากฐานขบวนงานพัฒนาสังคมให้กลับมาเข้มแข็งมีบทบาทอีกครั้ง วันนี้จึงอยากเสนอให้รื้อระบบแพทยาธิปไตยและวัฒนธรรมอำมาตยาที่ฝังรากอยู่ในแหล่งทุนที่สนับสนุนงานพัฒนาทิ้งให้หมด….ครับ

บทบรรณาธิการ  พ.ค. 9, 2011
thaingo.org