สื่อมวลชนและชาวเน็ตจีนต่างแสดงความโกรธกริ้วแค้นเคือง เมื่อมีการเผยแพร่คลิปภาพจากกล้องวงจรปิดที่แสดงให้เห็นเหตุการณ์ผู้สัญจรผ่านไปมาร่วม 20 คน ไม่ได้แยแสสนใจเด็กหญิงวัย 2 ขวบครึ่งที่ถูกรถแวนคันหนึ่งชนล้มลง แล้วอีกไม่กี่นาทียังถูกรถแวนอีกคันหนึ่งแล่นทับขณะที่หนูน้อยยังนอนเจ็บอยู่กลางถนน มีการอภิปรายเสนอแนะให้ออกกฎหมายปกป้องพลเมืองดี เพื่อคุ้มครองไม่ให้มีการฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายกับผู้ที่มีจิตใจงามเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ในกรณีแบบหนูน้อยเย่ว์เย่ว์ที่ถูกรถชนแล้วหนีถึง 2 ครั้ง 2 หนซ้อนเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวก็ยังคงไม่สามารถแก้ไขเยียวยาความรู้สึกเฉยเมยและความละโมบเห็นแก่เงินที่กำลังเกาะกุมจิตใจผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของประเทศจีนในปัจจุบัน
ฮ่องกง - “ศีลธรรมของพวกเราเป็นอะไรไปแล้ว?” “จิตใจที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นของพวกเราหล่นหายไปไหนหมด?” “พวกเราเป็นอะไรไปทำไมถึงได้ยิ่งวันยิ่งใจร้ายโหดเหี้ยมกว่าพวกสัตว์เลือดเย็นเสียอีก?” เหล่านี้เป็นคำถามที่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งปุจฉาโดยบรรดาสื่อมวลชนจีนและบล็อกเกอร์แดนมังกรผู้โกรธกริ้วแค้นเคือง สืบเนื่องจากเหตุการณ์ขับรถชนแล้วหนีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งปรากฏว่าพวกผู้คนที่สัญจรอยู่บริเวณนั้น ต่างพากันเดินผ่านร่างของหนูน้อยที่ถูกรถแวนคันหนึ่งชนล้มลงโดยไม่แยแสสนใจ จนกระทั่งเธอยังมาถูกรถอีกคันหนึ่งทับซ้ำเข้าไปอีก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมในเมืองฝอซาน มณฑลกวางตุ้ง (กว่างตง) มณฑลทางภาคใต้ที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดยิ่งกว่ามณฑลอื่นๆ ในประเทศจีน และถูกจับภาพเอาไว้โดยตลอดจากกล้องทีวีวงจรปิดกล้องหนึ่ง คลิปเหตุการณ์จากกล้องดังกล่าวถูกนำมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เซาเทิร์น เทเลวิชั่น กว่างตง (Southern Television Guangdong ใช้อักษรย่อว่า TVS) ของทางมณฑล และถูกโพสต์เอาไว้บนเว็บไซต์วิดีโอของจีนที่มีชื่อว่า Youku ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์(15)ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้เข้าไปชมถึงราว 2 ล้านครั้ง และมีผู้โพสต์ความเห็นเฉพาะในเว็บไซต์นั้นแห่งเดียวก็เป็นจำนวนหมื่นๆ
คลิปเหตุการณ์แสดงให้เห็นเด็กหญิงวัย 2 ขวบครึ่งผู้หนึ่งถูกรถแวนสีขาวขนาดใหญ่พุ่งชนแล้วขับหนีไป ขณะที่เธอกำลังเดินไปตามถนนในย่านตลาดแห่งหนึ่งของเมืองฝอซาน ประมาณ 6 นาทีหลังจากนั้น ก็มีรถแวนที่ผ่านมาอีกคันหนึ่งแล่นทับตัวหนูน้อยซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ในช่วงกลางระหว่างการก่อเหตุของรถทั้งสองคันนี้ มีผู้คนอย่างน้อยที่สุด 18 คนเดินผ่านจุดนั้นไปโดยไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือหนูน้อยเลย จนกระทั่งในที่แล้วจึงมีหญิงเก็บขยะวัยชราผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเหลือเธอ ด้วยการดึงตัวหนูน้อยมาไว้ที่ด้านข้างของถนนและร้องเรียกหามารดาของเธอ
ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวา คณะแพทย์บอกว่าเด็กหญิงผู้นี้ซึ่งมีชื่อว่า เย่ว์เย่ว์ และเป็นลูกของครอบครัวคนงานอพยพจากเขตชนบทที่เข้ามาทำงานในเมืองฝอซาน อยู่ในสภาพสมองตาย เธออยู่ในอาการโคม่าร้ายแรง และยังอยู่มาได้ก็ด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิต ขณะที่ตำรวจแจ้งว่าคนขับของรถทั้ง 2 คันได้ถูกจับกุมแล้ว [1]
“ฉันกำลังเก็บขยะอยู่ในตลาดขายเครื่องเหล็ก ตอนที่ฉันเห็นหนูน้อยคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ในถนน ฉันรีบเดินเข้าไปที่ตัวแกและได้ยินแกร้องคราง” หญิงเก็บขยะที่มีชื่อว่า เฉิน เซี่ยนเม่ย เล่า “ฉันยกตัวแกขึ้นมาและเห็นตาของแกปิดข้างนึง และมีน้ำตาอยู่ที่ตาของแกด้วย แกกำลังมีเลือดไหลออกมาทั้งทางปาก, จมูก, และที่ท้ายทอย
“ฉันอยากจะอุ้มแก แต่ตัวแกอ่อนไปหมดและล้มลงทันที ฉันเลยไม่กล้าลองดูอีก ดังนั้น ฉันเลยต้องลากแกมาที่ข้างถนน และตะโกนขอให้คนมาช่วย แต่ก็ไม่มีใครมาเลย” หนังสือพิมพ์หยางเฉิง อีฟนิ่ง นิวส์ รายงานข่าวอ้างคำพูดของหญิงเก็บขยะผู้นี้ เฉินยังพยายามสอบถามพนักงานของร้านที่อยู่ใกล้ๆ สองสามร้านว่าหนูน้อยเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่ก็ได้คำตอบเพียงว่า “ไม่รู้” [2]
ความเฉยเมยของผู้คนที่ผ่านไปมาตลอดจนพวกที่อยู่อาศัยในย่านนั้น ทำให้สาธารณชนรู้สึกช็อก พวกคอมเมนเตเตอร์ของสื่อและสมาชิกชุมชนชาวเน็ตต่างแสดงความแค้นเคืองโกรธกริ้วต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับระดับศีลธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของประเทศจีนในวันนี้
“เม่งจื๊อ (ปรัชญาเมธีชื่อดังคนหนึ่งในยุคโบราณของจีน) กล่าวเอาไว้ว่า 'จิตใจที่มีความเห็นอกเห็นใจคือสาระสำคัญของมนุษย์' อะไรทำให้พวกเราเกิดความเฉยเมยไม่แยแสเพื่อนมนุษย์กันถึงขนาดนี้? … การขาดไร้ความเห็นอกเห็นใจคนอื่นคือภัยพิบัติทางศีลธรรมประการหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้าพวกเราทั้งหมด … ขอให้พวกเราทั้งหมดถามตัวพวกเราเองดูเถอะว่า ถ้าพวกเราเป็นผู้ที่เดินผ่านฉากเหตุการณ์นั้น พวกเราสักกี่คนกันที่จะเข้าไปช่วยหนูน้อยคนนี้?” เป็นเนื้อหาตอนหนึ่งในบทวิจารณ์ชิ้นซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉงชิ่ง ไทมส์
บทวิจารณ์ชิ้นนี้ยังกล่าวประณามระบบที่ขาดไร้กลไกสนับสนุนการทำคุณงามความดี “เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระบบของเราในปัจจุบันกำลังอยู่ในสภาพที่น่าละอายมาก มันเป็นระบบที่ยังคงปล่อยให้การทุจริตคอร์รัปชั่นดำเนินไปอย่างกำเริบเสิบสาน และคนชั่วอิ่มหนำสำราญกับอภิสิทธิ์ต่างๆ, เรื่องอื้อฉาวทั้งหลายเกิดขึ้นกับองค์การการกุศลอย่างเช่น กาชาด ทำให้ผู้คนหยุดบริจาคช่วยเหลือผู้ที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ [3] ทั้งหมดที่กล่าวมาเหล่านี้ แน่นอนที่สุดว่ากำลังสั่นคลอนความเชื่อมั่นศรัทธาของผู้คนที่มีจิตใจเมตตากรุณาทั้งหลาย”
สำหรับคนอื่นๆ มองการที่ผู้คนในสังคมขาดไร้จิตใจงามพร้อมเป็นพลเมืองดีเช่นนี้ว่า เกี่ยวข้องโยงใยกับคำพิพากษาคดีของศาลในนครเทียนจิน (เทียนสิน) ก่อนหน้านี้ โดยในคดีดังกล่าว ชายผู้หนึ่งระบุว่าเขาได้เข้าช่วยเหลือหญิงชราผู้หนึ่งที่ล้มกลางบนถนน แต่แล้วเขากลับถูกหญิงชราผู้นี้ตลอดจนครอบครัวของเธอกล่าวหาว่า เขานั่นแหละเป็นผู้ผลักให้เธอล้มลงไป ปรากฏว่าศาลพิพากษาให้ชายผู้นี้ต้องจ่ายเงินค่าชดเชยก้อนมหึมาให้หญิงชรา และเวลานี้เขากำลังเฝ้าลุ้นว่าศาลอุทธรณ์จะตัดสินคำอุทธรณ์ของเขาอย่างไร
ทว่ามีบทวิจารณ์ชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์อินฟอร์เมชั่น ไทมส์ ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในนครกว่างโจว (กวางเจา) เสนอทัศนะว่า ไม่ยุติธรรมเลยที่จะประณามกฎหมายฉบับที่ถูกใช้มาตัดสินความผิดของชายที่นครเทียนจิน “ในกรณีของหนูน้อย (เย่ว์เย่ว์) ผู้นี้ ทุกๆ คนต่างก็เห็นกันได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าหนูน้อยถูกรถแวนชนล้มลง คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีคนไหนหรอกที่จะทำให้พ่อแม่ของเธอเข้าใจไปได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดตัวจริง กระทั่งถ้าเราสมมุติว่าสภาพการณ์แวดล้อมอาจเป็นเหตุให้ผู้เข้าไปช่วยเหลือกลายเป็นคนทำผิดไปได้จริงๆ เราก็ยังคงตั้งคำถามได้อยู่ดีว่าทำไมจึงไม่มีใครเลยที่คิดทำเรื่องง่ายๆ เพียงแค่การโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉิน เราเชื่อว่าทุกท่านที่ได้ชมคลิปภาพดังกล่าว สามารถที่จะตัดสินความผิดของพวกที่ผ่านไปมาเหล่านั้น”
“สุภาพสตรีผู้เก็บขยะเป็นผู้ที่สอนบทเรียนให้แก่พวกเราได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด ทำไมประชาชนของเราจึงได้กลายเป็นคนเฉยเมยไปได้ขนาดนี้? มันเป็นหลักฐานอันหนักแน่นว่าเราจักต้องเพิ่มระดับศีลธรรมของพวกเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
บทความที่ลงนามผู้เขียนชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ไชน่า ยูธ เดลี่ เขียนเอาไว้ว่า ความหวั่นกลัวว่าจะถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับการไม่เข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นที่ประสบเคราะห์ และในกรณีนี้มันคือการเปิดโปงให้เห็นความเสื่อมโทรมของมนุษยธรรมในสังคมจีน
อันที่จริง กรณีฝอซานนี้ ก็มิใช่กรณีโดดๆ กรณีเดียวที่แสดงถึงความเสื่อมทรามทางศีลธรรมในแดนมังกร
เมื่อวันที่ 2 กันยายน มีชายชราอายุ 88 ปีผู้หนึ่งล้มลง ณ มณฑลหูเป่ย ทางภาคกลางของจีน ใบหน้าของเขากระแทกกับทางเท้า ไม่มีใครสักคนที่เข้าไปช่วยเหลือผู้เฒ่าคนนี้ ทั้งๆ ที่เขานอนนิ่งอยู่ตรงถนนที่ผู้คนสัญจรหนาแน่นเป็นเวลาถึงประมาณ 90 นาที และในที่สุดผู้เฒ่าผู้นี้ก็หายใจไม่ออกจนเสียชีวิตไปสืบเนื่องจากเลือดที่ไหลออกมาจากจมูกของเขา [4]
หลายๆ วันก่อน ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองฉางชุน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแดนมังกร พวกนักเรียนที่กำลังเล่นบาสเกตบอลกันอยู่ได้เกิดตีกันขึ้น นักเรียนเหล่านี้มีอยู่คนหนึ่งโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขา ปรากฏว่าพ่อแม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจร่ำรวยในท้องถิ่น รีบมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับชายหลายสิบคนที่มีมีดเล่มใหญ่เป็นอาวุธ ผู้เป็นแม่ตะโกนลั่นว่า “อัดพวกมันให้หมอบเลย แล้วฉันจะจ่ายค่ารักษาพวกมันเอง” ปรากฏว่ามีนักรียนคนหนึ่งถูกแทงถึงสิบกว่าแผล และต่อมาก็ไปเสียชีวิตในโรงพยาบาล
“พ่อแม่คู่นี้เกลียดชังนักเรียนคนนี้อะไรนักหนาหรือ? ทำไมพวกเขาต้องการให้เด็กคนนี้ตาย? เกิดอะไรขึ้นกับคุณธรรมดั้งเดิมของคนจีนที่ 'ขยายความรักลูกหลานของเราไปสู่ลูกหลานคนอื่นๆ'?” บทวิจารณ์ชิ้นหนึ่งใน ฉงชิ่ง ไทมส์ ตั้งปุจฉา
เวลานี้มีกระแสในหมู่สมาชิกชุมชนชาวเน็ตของจีน เรียกร้องให้ออกกฎหมายปกป้องพลเมืองดีฉบับใหม่ ซึ่งจะให้การคุ้มครองผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือแก้ไขเหตุการณ์ทำนองที่ยกตัวอย่างมา ไม่ให้พวกเขาต้องถูกฟ้องร้องเล่นงานในภายหลัง ทว่ากฎหมายเช่นนี้เพียงอย่างเดียวก็อาจจะยังไม่เพียงพอหรอก ตัวอย่างเช่น กฎหมายลักษณะนี้ย่อมไม่สามารถแก้ไขกรณีอย่างการแทงเด็กนักเรียนที่เมืองฉางชุน
ถ้าหากต้องการแก้ไขปัญหาอย่างได้ผลยิ่งขึ้นแล้ว สังคมจำเป็นต้องหันมาพิจารณาอย่างจริงจังในเรื่องกระแสการเคารพบูชาเงินที่แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางในช่วงระยเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เงินนี่แหละที่กลืนกินจนความเห็นอกเห็นใจคนอื่นของผู้คนในสังคมหายสูญไป และเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมในสังคมจีน
ป๋อ ซีไหล (Bo Xilai) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขามหานครฉงชิ่ง เวลานี้กำลังพยายามฟื้นฟูการศึกษาทางอุดมการณ์ในแบบเหมา เจ๋อตง ขึ้นในเขตความรับผิดชอบของเขา ป๋อเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า “คนรุ่นหนุ่มสาวของเราดูเหมือนจะรู้จักเพียงวิธีหาเงิน นี่จะทำให้ประเทศชาติของเราตกอยู่ในอันตราย”
ทว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะสามารถทำอะไรได้ ในเมื่อเวลานี้กระแสความเลวร้ายต่าง ๆ ได้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางเสียแล้ว หยาดเลือดของหนูน้อยเย่ว์เย่ว์คือโลหิตหยดสุดท้ายที่ต้องเสียไปเพื่อปลุกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของสังคมให้ฟื้นตื่นขึ้นมาใช่หรือไม่ นี่ยังคงเป็นคำถามที่จะต้องตอบโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน, รัฐบาลจีน, และสังคมจีนโดยองค์รวม
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์
www.atimes.com)
Little Yueyue and China's moral road
By Wu Zhong
18/10/2011
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ตุลาคม 2554