4. เสรี ยันไม่มีใบสั่งให้ผลักดัน กม.รอการกำหนดโทษ ปัดยอมถอยเพราะ พล.อ.ประวิตร ค้าน!
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีปฏิกิริยาจากหลายฝ่ายต่อกรณีที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ได้วางกรอบเรื่องการสร้างความปรองดองเพื่อนำเสนอรัฐบาล โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1.การแก้ปัญหาโดยใช้นโยบายรัฐ เช่น คดีความผิดเล็กน้อยหรือมีเจตนาไม่ร้ายแรง อาจมีนโยบายของรัฐไม่ดำเนินคดีต่อ เช่น การใช้มาตรา 44 การถอนฟ้อง และ 2.การแก้ปัญหาโดยตัวกฎหมาย จะใช้วิธีออก พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก.รอการกำหนดโทษ โดยให้คดีสิ้นสุดลงทันที ไม่ต้องมีการตัดสินคดีหรือฟังคำพิพากษา ซึ่งจะใช้กับคดีที่มีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ชุมนุมบุกยึดสถานที่ราชการ หรือปิดสนามบิน หรือสี่แยกต่างๆ แต่ไม่รวมคดีทุจริต คดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 และการวางเพลิงเผาทรัพย์
ปรากฏว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ออกมายืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดออกกฎหมายรอการกำหนดโทษของนายเสรี โดยชี้ว่า นายเสรีมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ที่เสนอกฎหมายละเว้นโทษให้ผู้ชุมนุมปิดสนามบิน ปิดถนน โดยมีเงื่อนไขต้องรับสภาพ รับว่ากระทำผิดในศาลก่อนจึงจะเข้าข่ายละเว้นโทษ และตนขอต่อสู้ในชั้นศาลตามเดิม ผมต้องการให้แกนนำแต่ละฝ่ายไปต่อสู้คดี เชื่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.คงไม่รับเช่นกัน หากต้องการฆ่าตัวตายแล้ว อาจตอบรับว่าเอาก็ได้ แล้วมวลชนของเขาจะมองอย่างไร
ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และโฆษกกลุ่ม กปปส. กล่าวถึงแนวทางปรองดองของนายเสรีว่า แกนนำ กปปส.ยินดีต่อสู้คดีจนถึงที่สุด ไม่ร้องขอให้มีการล้างผิดในรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างที่ทำไป ได้ตัดสินใจดีแล้ว ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก พร้อมย้ำว่า เรื่องการปรองดองไม่มีใครปฏิเสธ แต่ไม่ควรเอามาเหมารวมกับการนิรโทษกรรมหรือการล้างผิดรูปแบบอื่นๆ กปปส.ยืนยันว่าไม่ควรล้างผิดให้กับคดีทุจริต เพราะขัดหลักสากล และไม่ควรล้างผิดให้คนทำผิดคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 เพราะกระทบต่อความมั่นคงและความรู้สึกประชาชน รวมถึงคดีอาญาร้ายแรง ฆ่า เผาทำลาย ทำร้ายชีวิต เพราะผู้เสียหายจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและนำไปสู่ความแตกแยก
ส่วนท่าทีจากฝ่ายรัฐบาลนั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวคิดออกกฎหมายรอการกำหนดโทษ โดยบอกว่า เสนอมาทำไมก็ไม่รู้ ขณะนี้สถานการณ์ก็ดีๆ กันอยู่แล้ว อะไรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งก็อย่าไปทำ พอเสนอแบบนี้ คนก็ออกมาพูดเห็นด้วยบ้างไม่เห็นด้วยบ้าง ยุ่งไปหมด ควรปล่อยให้โรดแมปเดินหน้าไป เดี๋ยวพอรัฐธรรมนูญออกมา แล้วค่อยว่ากันช่วงเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หลังเกิดปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ค. นายเสรี ก็ยอมถอยเกี่ยวกับแนวคิดสร้างความปรองดองด้วยการออกกฎหมายรอกำหนดโทษ โดยเผยหลังประชุมกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองว่า ที่ประชุมได้เชิญนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มาพูดถึงแนวทางการสร้างความปรองดอง แต่ไม่มีการหารือเรื่องกฎหมายรอการกำหนดโทษ เป็นเพียงการพูดคุยเรื่องหลักเกณฑ์เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ส่วนเรื่องกฎหมายรอการกำหนดโทษตามแนวทางของ สปท.การเมือง คงต้องหยุดไว้ก่อน ต้องรอให้ได้สติกันก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยกันอีกครั้ง ยืนยันว่า ยังไม่มีการพับแผน แต่อาจจะต้องปรับเนื้อหาให้ลดความเข้มข้นลง เช่น อาจปรับเงื่อนไขหลังการรับสารภาพผิดให้เบาลง แทนที่จะถูกควบคุมเรื่องการคุมเข้มเรื่องต่างๆ ตลอดชีวิต เหลือเพียง 1-2 ปี หรือการยกเลิกเรื่องการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ต้องมีการหารือกันก่อน จากนั้นจะเข้าหารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง
นายเสรี ยืนยันด้วยว่า การชะลอเรื่องกฎหมายรอการกำหนดโทษในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นสัญญาณมาจากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว แต่ สปท.การเมืองก็พร้อมรับฟัง เพราะ สปท.ถือเป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สายที่ต้องทำงานร่วมกัน เมื่อ พล.อ.ประวิตรท้วงติงว่า อาจจะเกิดความวุ่นวายตามมา เราก็เห็นว่า อาจจะเป็นไปได้ จึงเห็นว่า ควรชะลอไว้ก่อน แต่ยืนยันว่า ไม่มีใบสั่งจากใครให้ผลักดันกฎหมายดังกล่าวแน่นอน
5. สธ.สั่งปิด รพ.เดชา 60 วัน หลังพบไม่ได้มาตรฐาน ด้านบุตรสาวหมอเดชา รับยังเป็นเจ้าของอยู่ แต่ให้ บ.ศรีอยุธ เช่าต่อ-ค้างค่าเช่ากว่า 20 ล้าน!
เมื่อวันที่ 12 พ.ค. น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้ลงนามคำสั่งปิดโรงพยาบาลเดชา เป็นเวลา 60 วัน โดยคำสั่งปิดเป็นไปตามมาตรา 50 ของ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ทั้งนี้ น.ต.นพ.บุญเรือง ให้เหตุผลที่สั่งปิด รพ.เดชาว่า เนื่องจาก รพ.เดชาดำเนินการไม่เป็นไปตามมาตรฐาน คือ 1.ไม่จัดให้มีบุคลากรตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด 2.มีการปิดให้บริการแผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการให้บริการของ รพ.ขนาดใหญ่
น.ต.นพ.บุญเรือง ยืนยันด้วยว่า สบส.จะไม่ทอดทิ้งประชาชนที่ใช้บริการที่ รพ.เดชา อย่างแน่นอน โดย รพ.เดชามีผู้ประกันตนประมาณ 40,000 คน มีผู้ป่วยรักษาตัวประมาณ 7 คน สบส.ได้ประสานสำนักงานประกันสังคม(สปส.) แล้ว ขณะนี้ได้จัดสถานพยาบาลในเขต กทม.รองรับผู้ป่วย 2 แห่ง คือ รพ.ราชวิถี และ รพ.เลิดสิน เพื่อรองรับผู้ประกันตน โดยสามารถติดต่อแจ้งเลือกใช้สิทธิได้ที่สำนักงานประกันสังคม
ด้านนายโกวิท สัจจวิเศษ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) แถลงว่า รพ.เดชา เป็นคู่สัญญากับ สปส.มาตั้งแต่ปี 2537 อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นปี 2559 รพ.จุฬาลงกรณ์ ในฐานะ รพ.รับผู้ป่วยต่อจาก รพ.เดชา ได้มีหนังสือแจ้งทวงเงินค่ารักษามายัง สปส.เป็นเงิน 23 ล้านบาท อีกทั้งตรวจสอบพบว่า รพ.เดชา ยังติดค้างเงินสมทบกับกองทุนประกันสังคมในส่วนของนายจ้างอีก 8 ล้านบาท รวมขณะนี้ รพ.เดชามีหนี้กว่า 32 ล้านบาท
นายโกวิท กล่าวอีกว่า สปส.ได้หารือกับ รพ.จุฬาฯ ว่า หากผู้ประกันตนเจ็บป่วยระหว่างวันที่ 12-15 พ.ค.นี้ สามารถเข้ารักษาได้ที่ รพ.จุฬาฯ โดย สปส.จะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือเข้ารักษาที่ รพ.รัฐ หรือ รพ.เอกชนอื่นๆ ซึ่ง สปส.จะจ่ายเงินตามเกณฑ์ค่ารักษา ส่วนการโอนย้ายผู้ประกันตน 40,027 คนไป รพ.อื่นนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างโอนย้ายข้อมูลผู้ประกันตนไปยัง รพ.ตำรวจ 10,000 คน ที่เหลือจะเฉลี่ยไป รพ.เลิดสิน และ รพ.ราชวิถี โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 พ.ค.นี้ ซึ่งผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบได้ทาง
www.sso.go.th หรือสายด่วน 1506 หากผู้ประกันตนไม่สะดวกเข้ารับบริการใน รพ.ที่โอนไป สามารถยื่นขอเปลี่ยน รพ.ได้ภายใน 3 เดือน
ขณะที่นายอนันตชัย อุทัยพัฒนาชีพ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน(กสร.) แถลงว่า กสร.มีแนวทางช่วยเหลือลูกจ้าง รพ.เดชาทั้ง 206 คน ให้ได้รับค่าจ้างค้างจ่าย โดยเจ้าหน้าที่ได้ออกคำสั่งเรียกนายจ้างมาชี้แจง และให้นำหลักฐานการจ่ายค่าจ้างมาแสดง แต่นายจ้างยังไม่ยอมมาพบเจ้าหน้าที่ตามคำสั่ง โดยภายในสัปดาห์หน้า จะออกหนังสือคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง หากไม่ปฏิบัติตามภายใน 30 วัน กสร.จะแจ้งความดำเนินคดีและจะนำเรื่องฟ้องร้องต่อศาล เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย หากเกินกำหนดแล้ว นายจ้างยังไม่จ่ายค่าจ้าง ลูกจ้างสามารถมาเขียนคำร้องเพื่อขอรับเงินสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ โดยจะได้รายละไม่เกิน 18,000 บาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 พ.ค. น.ส.วรสุดา สุขารมณ์ บุตรสาวคนเล็กของ นพ.เดชา สุขารมณ์ เจ้าของ รพ.เดชา ได้เปิดแถลงข่าวกรณี รพ.เดชา ถูกสั่งปิดเป็นเวลา 60 วันว่า ที่มีข่าวว่าเจ้าของ รพ.เดชา เสียชีวิตแล้ว ทำให้สังคมสับสนว่าใครเป็นเจ้าของ ยืนยันว่า นพ.เดชา ยังมีชีวิตอยู่ และยังมีสุขภาพแข็งแรง และว่า บริษัท สุขารมณ์ ยังคงเป็นเจ้าของที่ดินและทรัพย์สิน 100% แต่ไม่ได้เข้ามาดำเนินการ 10 ปีแล้ว เนื่องจากให้บริษัท ศรีอยุธ จำกัด เป็นผู้เช่าดำเนินการต่อตั้งแต่ปี 2549 โดยครอบครัวไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารใดๆ สำหรับพนักงานที่ทำงานอยู่ คือพนักงานเก่าของบริษัท สุขารมณ์ และว่า บริษัท ศรีอยุธ เริ่มขาดสภาพคล่องตั้งแต่ปลายปี 2558 โดยค้างจ่ายค่าเช่ามานาน รวมแล้วกว่า 20 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ติดต่อบริษัทอื่นมารับช่วงบริหารต่อหรือไม่ หรือบริษัทสุขารมณ์จะบริหารเอง น.ส.วรสุดา กล่าวว่า บริษัทสุขารมณ์จะไม่บริหารต่อ เนื่องจากไม่มีความพร้อม ประกอบกับครอบครัวมีธุรกิจโรงแรมที่ จ.กาญจนบุรี แต่ที่ผ่านมา มีหลายบริษัทมาติดต่อ ทางสิงคโปร์ก็มาติดต่อเช่นกัน แต่ติดขัดเรื่องเอกสาร และว่า บริษัท สุขารมณ์ ยินดีเจรจาทุกรูปแบบทั้งเช่าหรือซื้อ หรือหากจะซื้อและไปทำธุรกิจอื่นก็ยินดี แต่ใจจริง อยากให้ดำเนินการเป็น รพ.ตามเดิม เพราะ รพ.เดชา ถือเป็น รพ.เอกชนแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อถามว่า หากซื้อ รพ.จะขายเท่าไร น.ส.วรสุดา กล่าวว่า ยังไม่ชัดนัก แต่ประเมินทรัพย์สินแล้ว ไม่น่าจะต่ำกว่า 500 ล้านบาท
MGR Online 14 พฤษภาคม 2559