แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - seeat

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 32
31
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -น่าสงสัยใครเป็นไอ้โม่งวางยาครม.พล.อ.ประยุทธ์จนทำให้ “หม่อมเหลน” ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกพิษไมค์แพงเล่นงานกระทั่งไปไม่เป็น ไม่ว่าจะสวมวิญญาณนักแถระดับชาติ หรือปัดสวะ โยนขี้ ก็หนีไม่พ้น หนำซ้ำเรื่องนี้ยังอาจจะสะเทือนไปถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศตัวชัดเจนว่า ตั้งมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริต และใครก็ทุจริตไม่ได้
       
       หากสปอตไลต์ฉายจะจับไปเห็นแต่ “หม่อมเหลน” และข้าราชการกรมโยธาฯ กระทรวงมหาดไทย กับบริษัทเอกชน เพราะเป็นเจ้าของงาน ผู้ว่าจ้างและผู้รับงานแล้ว ต้องขอบอกว่ายังมีอีกคนที่มีส่วนนำเสนอเรื่องนี้ต่อ คสช.ซึ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และสปอร์ตไลท์สมควรส่องให้เห็นพร้อมกันด้วย ก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. และรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่เป็นผู้ชงเรื่องให้ที่ประชุม คสช. เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2557 อนุมัติการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล วงเงิน 252 ล้านบาท
       
       แต่ถึงวันนี้ น่าแปลกใจที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ผู้ซึ่งเคยได้ดิบได้ดีในตำแหน่ง ผบ.ตร. ด้วยการสนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับลอยตัวไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องตอบคำถามอะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นผู้เสนอโครงการ และเป็นผู้จัดแจงในการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาลเคียงคู่กับ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ซึ่งถ้าว่ากันตามความรับผิดชอบในเนื้องาน พล.ต.อ.อดุลย์ ต้องออกมาชี้แจงแถลงไขเรื่องราวความอื้อฉาวไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นด้วย
       
       ไม่ใช่ว่าทุกคำถามทุกความสงสัยต่างพุ่งเป้าไปที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล และบริษัทเอกชนเครือข่ายกลุ่มก๊วน “นกหวีด” ที่เชื่อมโยงผ่านหนึ่งในผู้ถือหุ้น บริษัท อัศวโสภณ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายไมค์ดังกล่าว คือ นางมยุรี วศินานุกร ภรรยา ของ นพ.ประเสริฐ วศินานุกร แพทย์อาวุโสจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกลุ่มผู้สนับสนุน กปปส. เท่านั้น
       
       แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนวางหมากอยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวดิสเครดิต ม.ล.ปนัดดา กระทบชิ่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็ชวนให้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงไปถึงการชี้นิ้วกล่าวหาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของม.ล.ปนัดดา ทำนองว่ามีผู้นำอปท.บางคนนั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาส ซดไวน์ขวดละแสน หยั่งเชิง จนมีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าอาจจะมีรายการยุบเลิก อปท.ตามมา ด้วยเหตุเพราะเป็นฐานเสียงกลุ่มอำนาจการเมืองเก่าที่เข้มแข็ง จนเป็นเรื่องให้ต้องเคลียร์ใจก่อนจะเลิกรากันไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นยุบเลิก อปท. แต่คำสั่งคสช.ที่ 85/2557 ลงวันที่ 15ก.ค.2557 ที่ให้หันมาใช้วิธีการสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแทนการเลือกตั้งก็ถือว่าคุมได้ระดับหนึ่ง
       
       กล่าวสำหรับงานปรับปรุงห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้มีการเผยแพร่ประกาศราคากลางงานครุภัณฑ์จัดซื้อ งานติดตั้งระบบห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2557 ผ่านเว็บไซต์ของกรมฯ ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบราคาเทียบกับท้องตลาดแล้วพบว่าผิดปกติ แพงเวอร์ หลายรายการ ที่หนักสุดคือ ไมค์พร้อมก้าน ราคาแสนห้า ตามมาด้วยจอภาพพลาสม่ารุ่นเก่า 5 แสน และโคมไฟเฉลี่ยชุดละแสน กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง
       
        “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ได้ตรวจสอบในเว็บไซต์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการปรับปรุงห้องประชุมทำเนียบฯ ครั้งนี้ พบว่า มีการประกาศราคากลางงานครุภัณฑ์จัดซื้อ งานติดตั้งระบบห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2557 รายละเอียดตามลิงก์http://www.dpt.go.th/eprocurement_v3/special/dptauction_specialinfo.php?special_no=257
       
       การประกาศราคากลางดังกล่าว เป็นงานติดตั้งระบบเสียง ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง และระบบ video conferrence ห้องประชุม 501, 301 และ 302 ของตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล มีรายชื่อกรรมการราคากลาง ประกอบด้วย นายอธิราช กนกเวชยันต์ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานกลาง นายวรสันต์ อิฐรัตน์ นายช่างโยธาอาวุโส นายอดิสัย ศิริถาพร นายช่างโยธาชำนาญงาน ประมาณราคาเมื่อวันที่ 30 ก.ค.  2557 แบ่งเป็นค่าวัสดุและค่าแรงงาน 63,540,450 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 4,447,831.50 บาท รวมทั้งสิ้น 67,988,282 บาท
       
       เมื่อแยกเป็นแต่ละห้องพบว่า ห้อง 501 ประมาณราคาทั้งสิ้น 32,095,480 บาท แบ่งเป็นระบบเสียงประมาณ 1.2 ล้านบาท ระบบภาพ (vdo wall) 9.2 ล้านบาท ระบบไมโครโฟนชุดประชุม 19,234,450 บาท ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 2.46 ล้านบาท, ห้อง 301 ประมาณราคาทั้งสิ้น 20,540,910 บาท แบ่งเป็นระบบเสียงประมาณ 4.9 แสนบาท ระบบภาพ (vdo wall) 6.9 ล้านบาท ระบบไมโครโฟนชุดประชุม 11,719,370 บาท ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 1.397 ล้านบาท, ห้อง 302 ประมาณราคาทั้งสิ้น 8,534,080 บาท แบ่งเป็นระบบเสียงประมาณ 4.9 แสนบาท ระบบภาพ (vdo wall) 3.5 แสนบาท ระบบไมโครโฟนชุดประชุม 6,969,980 บาท ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง 7.2 แสนบาท และ ระบบ video conferrence รวม 3 ชุด 2,369,980 บาท
           
           สำหรับประมาณราคาระบบไมโครโฟนชุดประชุมที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้ พบว่า เป็นไมโครโฟนยี่ห้อ BOSCH รุ่น DCNM-MMD ราคาประมาณชุดละ 139,690 บาท ก้านชุดละ 18,300 บาท รวมไมโครโฟนพร้อมก้านชุดละ 157,990 บาท ติดตั้งในห้องประชุม 501 จำนวน 100 ชุด ห้องประชุม 301 จำนวน 56 ชุด ห้องประชุม 302 จำนวน 25 ชุด รวมทั้งหมด 181 ชุด เป็นเงินทั้งสิ้น 28,596,190 บาท
       
       นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ประมาณราคากลางระบบภาพ (vdo wall) ของแต่ละห้องประชุมนั้น เป็นจอพลาสมา C60PW120 ขนาด 60 นิ้ว ราคาจอละ 529,870 บาท ติดตั้งที่ห้องประชุม 501 จำนวน 16 จอ ห้องประชุม 301 จำนวน 12 จอ รวมทั้งหมด 28 จอ เมื่อรวมราคาจอพร้อมขาตั้งยึดผนังอันละ 19,270 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 15,375,920 บาท
       
       จากการตรวจสอบ พบว่า จอพลาสมา C60PW120 ขนาด 60 นิ้ว ดังกล่าว เป็นของยี่ห้อ LG และเป็นรุ่นที่ไม่ได้มีการทำตลาดแล้ว เนื่องจากเป็นจอที่ใช้เทคโนโลยีเก่า ให้ความละเอียดของภาพเพียง 1,365 x 768 พิกเซล ขณะที่ในปัจจุบัน LG มีการวางจำหน่ายจอภาพขนาด 60 นิ้วหลายรุ่น ซึ่งมีความละเอียดสูงกว่า แต่ราคาต่ำว่า เช่น รุ่น 60PA6500 ซึ่งเป็นจอพลาสมาเช่นเดียวกันแต่ให้ความละเอียดระดับ Full HD หรือ 1980x 1080 พิกเซล ราคาเพียง 49,900 บาท หรือ รุ่น 60LB582T ขนาด 60 นิ้ว เป็นจอแอลอีดี ความละเอียด Full HD หรือ 1980 x 1080 พิกเซล มีราคาเพียง 52,559 บาท หรือแม้กระทั่งรุ่นที่มีความละเอียดระดับ 4K ซึ่งเป็นความละเอียดสูงสุดของจอภาพที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบัน อาทิ รุ่น UHD 65LA9650 ขนาดจอ 65 นิ้ว ก็มีราคาเพียง 70,900 บาทเท่านั้น
       
       ในส่วนของประมาณราคาระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ประกอบด้วย โคมไฟ ยี่ห้อDIMMABLE LED พร้อมไดร์ฟเวอร์ จำนวน 3 ขนาด ตั้งแต่ราคา 95,380 บาท 65,510 บาท และราคาสูงสุด 139,690 บาท รวมราคา 300,580 บาท นอกจากนี้ ยังมีราคาเครื่องควบคุมสวิตซ์เปิดปิด รวมถึงระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 3 ชุดมูลค่ารวม 2,080,950 บาท ก็ถูกมองว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป
       
       การจัดซื้อไมโครโฟนห้องประชุมครม.ที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งถูกวิจารณ์ว่าโคตรแพงคราวนี้ มีคำอธิบายว่า นี่เป็นไมค์สุดยอดไฮเทคเพราะมีความพิเศษนอกจากเสียงจะชัดใส ป้องกันเสียงรบกวน จะมีทั้งไมค์แบบธรรมดาและแบบมีออฟชั่นพิเศษสามารถเชื่อมต่อกับเชิร์ฟเวอร์ ระบบบบันทึกข้อมูล มีระบบล็อคข้อมูลและการป้องกันการแฮ็กข้อมูล โดยมีซอฟแวร์พิเศษการควบคุม ส่วนหน้าจอมีขนาด 7 นิ้ว มีลำโพงในตัว เป็นระบบสัมผัสเหมือนกับแท็บเล็ต โดยจะเป็นระบบแอนดรอยด์พิเศษ ที่ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเข้าชมเว็บไซต์ หรือ ท่องอินเตอร์เน็ตได้ด้วย
       
       ราคาค่าวัสดุและอุปกรณ์ที่แพงเว่อร์ ทำให้นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อไมโครโฟนประจำทำเนียบรัฐบาล ในราคาตัวละกว่า 145,000 บาท ว่าแพงเกินเหตุหรือไม่ หลังจากมีการตรวจสอบพบว่าไมโครโฟนดังกล่าวมีราคาเพียง 1981.95 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 63,422 บาทเท่านั้น ซึ่งการจัดซื้อจัดหาไมโครโฟนในราคาแพง ถือเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักความประหยัดค่าใช้จ่ายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. พูดมาโดยตลอด
       
       หลังจากเรื่องราวลุกลามบานปลายใหญ่โต ม.ล.ปนัดดา ก็ปัดสวะพ้นตัวว่าเรื่องยังไม่ได้มีการส่งผ่านมาถึงตน และโยนไปยังอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่ให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่มีการลงนามทำสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นปัญหาใดทั้งหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้ ความโปร่งใสในช่วงนี้ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครจะไปกล้าทุจริตคดโกง เพราะคนเกรงใจนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.
       
       ขณะที่ นางสาวศิระภา วาระเลิศ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง รับผิดชอบงานกำกับดูแลบูรณะทำเนียบรัฐบาล ออกมาปฏิเสธว่า ไมโครโฟนตัวละ 145,000 บาท ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ราคาสุดท้าย ซึ่งกรมโยธาธิการฯ จะต่อรองให้ได้ราคาที่ต่ำที่สุดในราคาพิเศษของทำเนียบรัฐบาลและยืนยันว่ากรมโยธาธิการฯ ดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอนแล้ว       
       
       แต่ไม่ว่าจะปัดสวะ ปฏิเสธกันอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบลงได้ กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมด้วยตัวแทนบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ระบบโสตทัศนูปกรณ์ ร่วมแถลงชี้แจงว่า ราคาไมค์ 145,000 บาท เป็นเพียงราคาประมาณการที่ตั้งขึ้นเพื่อขออนุมัติงบ แต่เมื่อมีการต่อรองราคาแล้ว ได้ข้อสรุปจัดซื้อในราคา 94,250 บาท และยืนยันว่า ยังไม่มีการเบิกจ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ 15 ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะยังไม่มีการลงนามในสัญญากับเอกชน แต่ยอมรับว่าบริษัทเอกชนได้ดำเนินการติดตั้งแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบใช้งาน พร้อมชี้แจงเหตุผลในการจัดซื้อไมโครโฟน รุ่น DCNM-MMD ของบริษัท Bosch Security Systems เนื่องจากเป็นรุ่นล่าสุดและมีคุณภาพดีที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานราชการใดในประเทศไทยติดตั้ง
       
       ส่วนการติดตั้งจอพลาสมา ในราคาสูง ขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการติดตั้งระบบLED แทน เนื่องจากมีความคมชัดและมีราคาต่ำกว่า โดยมีราคาจัดซื้อประมาณ 300,000 บาท แต่ยังไม่มีการสรุปตัวเลข เพราะอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรอง พร้อมกับยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปอย่างโปร่งใส และพร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางอาญาและทางวินัยหากพบการทุจริตเกิดขึ้น
       
       อธิบดีกรมโยธาธิการฯ ประกาศชัดว่า “...พร้อมรับการตรวจสอบทั้งทางอาญาและทางวินัย...” นั่นอาจหมายความว่า เร็วๆ นี้คงมีรายการเชือดแพะสังเวย เพื่อให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนของ พล.อ.ประยุทธ์ คงความขลังและศักดิ์สิทธิ์
       
        “นับจากวันนี้ คสช.ขอยืนยันว่าจะไม่มีการทุจริต หรือเรียกร้องผลประโยชน์แม้แต่บาทเดียว หากใครพบหรือถูกเรียกรับใดๆ ให้แจ้งมา จะดำเนินการตรวจสอบและลงโทษทันที” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและการบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ครั้งที่ 1/2557 วันที่ 1 ก.ค. 2557
       
       “...การทุจริตจะต้องไม่มี จะต้องหยุดให้ได้ในระยะเวลานี้และต่อไป...”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. /  รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”  วันที่ 7มิ.ย. 2557
       
       “...ผมต้องใช้การตรวจสอบที่ดี ผมต้องวางแผนตรงนี้ไว้แล้ว ผมคงไม่ให้มีการอนุมัติโดยการที่เรียกว่ายัดไส้อะไรทำนองนี้ ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมอยู่แล้ว ตัวผมเองตั้งมั่นว่าเราไม่ทุจริต แต่ใครก็ทุจริตไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี / รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ" 29 ส.ค. 2557
       
       จะว่าไปแล้ว การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยราชการที่แพงเวอร์เกินเหตุ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้างปกติหรือการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ใด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด แม้แต่หน่วยงานที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยอย่างทำเนียบรัฐบาลหรือรัฐสภา ศูนย์กลางอำนาจก็ยังไม่เว้น
       
       คงจำกันได้เรื่องนาฬิกาโคตรแพงของรัฐสภา ที่ปูดขึ้นมาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 วงเงิน 2.5 ล้านล้านบาท สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงเรื่องการผลาญงบของสภาผู้แทนราษฎร อาทิ การปรับปรุงห้องสื่อมวลชน 5 ล้านบาท เปลี่ยนไมโครโฟนในห้องประชุมสภา 80 ล้านบาท ติดกล้องวงจรปิด 30 ล้านบาท ค่าเก็บขยะ 2.3 ล้านบาทต่อปี
       
       ที่สำคัญคือ การจัดซื้อนาฬิการะบบดิจิตอล ที่ติดผนัง 240 เรือน เรือนละ 7.5 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 15 ล้านบาท ทำให้เกิดคำถามว่ามันโคตรนาฬิกาหรือไรทำไมถึงแพงนัก และทำไมต้องซื้อถึง 240 เรือน จะเอาไปติดตั้งตรงไหนหนักหนา กระทั่งนายนุกูล สัณฐิติเสรี รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่โฆษกสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกมาชี้แจงถึงความอัจฉริยะของโคตรนาฬิกา รวมค่าใช้จ่ายสำหรับการควบคุมเวลาและการบริหารเวลาภายในรัฐสภาทั้งระบบซึ่งเป็นเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูง
       
       คำอธิบายของนายนุกูล ถึงความไฮเทคโนโลยีของระบบนาฬิกาไม่ต่างกับการอธิบายความไฮเทคของไมค์ทำเนียบรัฐบาลว่าอุปกรณ์ที่เป็นตัวแสดงผลที่มีความเที่ยงตรงตลอดเวลา มีการเชื่อมต่อกับดาวเทียม และระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อส่งสัญญาณเวลาให้กับนาฬิกาเครื่องลูกข่ายทั้งหมด รวมถึงมีการ Back Up ระบบเวลาให้กับชุดควบคุมนาฬิกาหลัก ให้สามารถรักษาเวลาต่อเนื่องในกรณีไฟฟ้าดับ ได้ไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง และยังมีคอมพิวเตอร์ แอปพลิเคชั่น และระบบการเชื่อมต่อกับมาตรฐานเวลาในระบบของสำนักมาตรวิทยา กระทรวงวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์ และระบบการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้สายใยแก้วนำแสง Fiber Optic สำหรับเชื่อมโยงระหว่างอาคารที่มีความเสถียรสูง
       
       เวลานั้น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I'm No.5 ว่า "นาฬิกาดังกล่าวติดอยู่ทั่วพื้นที่ของรัฐสภา มีทั้งติดอยู่เหนือประตูห้องสูบบุหรี่ของ ส.ส. ใกล้ห้องอาหาร นาฬิกานี้มีมูลค่า 75,000 บาทต่อเรือน แน่นอนว่าเป็นราคาที่ "สูงมาก" และผมก็ไม่เห็นเหตุผลใดที่จะต้องซื้อนาฬิกาเรือนละ 75,000 บาท เพื่อเอามาแขวนเหนือประตูห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องสูบบุหรี่ หรือห้องน้ำ ผมไม่อยาก "โต้เถียง"  ถึงการสิ้นเปลืองเงินจากผู้เสียภาษี แต่นี่มันมากเกินไป นาฬิกาไซโก้ ราคา 1,500 บาท ก็ใช้แขวนได้ เดินตรงเวลาและทนทาน"
       
       หลังจากนั้น ไม่นาน นาฬิกาโคตรแพงก็เดี้ยง หยุดเดินไปเฉยๆ หลายเรือน สร้างตำนานอื้อฉาวให้เล่าขานต่อเนื่องมาถึงไมค์ไฮเทคแห่งทำเนียบรัฐบาล ณ เวลานี้
       
       หากจะปราบโกงคงต้องฟังข้อคิดจากคนๆ นี้ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น “อยากฝาก คสช.เอาไว้ในคำพูดของลอร์ดแอคตันว่า อำนาจนำมาซึ่งการคอร์รัปชั่น อำนาจที่เบ็ดเสร็จยิ่งทำให้คอร์รัปชั่นได้อย่างไม่จำกัด อยากฝาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่าถ้าจะแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นต้องใช้อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างผู้นำจีน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเอาตนเองเป็นต้นแบบ ไม่เช่นนั้นหาวิธีแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นไปอีกกี่ปีก็ไม่สำเร็จ...."

ASTVผู้จัดการรายวัน    13 กันยายน 2557

32
เว็บไซต์นิตยสารไทมส์รวบรวม 6 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรักและเซ็กซ์ที่เหล่านักวิจัยใช้วิธีวิทยาศาสตร์อธิบาย จนรู้สึกอึ้งและทึ่งไม่น้อย โดยข้อเท็จจริงข้อแรก คือ สามีภรรยาอาจมีดีเอ็นเอที่คล้ายกัน ซึ่งการศึกษาของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ ค้นพบสารพันธุกรรมคู่สามีภรรยาบ่งชี้ว่าแตกต่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดีเอ็นเอของคู่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ข้อเท็จจริงที่2 คือ การเปิดหนังรักช่วยให้ชีวิตคู่กระชุ่มกระชวยขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ด้านชีวิตคู่รายหนึ่งชี้ว่าการดูหนังรักและคุยเรื่องความสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับหนังทำให้คู่รักมีแนวโน้มหย่าร้างน้อยลง

ข้อเท็จจริงที่ 3 ฝ่ายวิจัยมหาวิทยาลัยอัลไบรท์ รายงานว่า ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนเสียงให้เซ็กซี่ขึ้นด้วยการลดเสียงให้ต่ำและแหบพร่า เมื่อต้องการกลายร่างเป็นแม่เสือสาวพราวเสน่ห์

ข้อเท็จจริงที่ 4 การศึกษาของมหาวิทยาลัยชั้นนำในเนเธอร์แลนด์ พบว่าความสะอาดบนเตียงไม่ใช่ประเด็นน่าขยะแขยงหรือต้องใส่ใจเมื่อถึงเวลาบรรเลงเพลงรัก

ข้อเท็จจริงที่5 มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ค้นคว้าจนพบว่าการแต่งงานจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกให้กับเพศชาย โดยเฉพาะหากแต่งหลังวัย 25 ปี

ข้อสุดท้ายนี้เรียกว่าแซ่บที่สุด เพราะกล่าวถึงความปึ๋งปั๋งของคู่รักสูงอายุ ที่พบว่าวัยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเร่าร้อนเสน่หา ดังนั้นถ้ายังฟิตและมีไฟกิจกรรมบนเตียงเช่นหนุ่มสาวก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

โพสต์ทูเดย์  28 กรกฎาคม 2557

33
เผยพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตปี 2557 ของคนไทยติดเน็ตงอมแงมใช้กันวันละกว่า 7ชั่วโมง เน้นใช้คุยออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียเกือบ 80% แฉเช็ค แชร์ โชว์ส่งผลเสี่ยงต่อความปลอดภัยสูง แถมไม่ยอมติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสกว่าครึ่ง เพศที่สามมาแรงใช้เน็ตกระจาย

สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สพธอ หรือ ETDA เปิดเผย ผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557 ที่จัดทำโดยETDA ล่าสุดพบว่า อินเทอร์เน็ตได้เพิ่มบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้นกว่าเดิมมาก โดยค่าเฉลี่ยของการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้งานโดยเฉลี่ย 32.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 4.6 ชั่วโมงต่อวัน ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 50.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาโดยประมาณ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน หรือคนใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ของวันเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังพบว่า “กลุ่มเพศที่สาม” มีจำนวนชั่วโมงการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 62.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ผู้คนมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันตลอดเวลาโดยในแต่ละช่วงเวลาจะมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในอุปกรณ์ต่างๆที่แตกต่างกันไป สมาร์ตโฟนเป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้งานสูงเกือบทั้งวัน เฉลี่ยสูงถึง6.6 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนการใช้งาน “สมาร์ตทีวี” ในยุคทีวีดิจิทัลระยะเริ่มต้น พบว่า 8.4% ของผู้ตอบมีการใช้อุปกรณ์นี้ และกลุ่มผู้ใช้งานมีการใช้งานเฉลี่ย 3.4 ชั่วโมงต่อวัน
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความบันเทิง และการติดต่อสื่อสาร โดยกิจกรรมหลัก3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับหนึ่ง ใช้ในการพูดคุยผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ 78.2% อันดับสอง ใช้เพื่ออ่านข่าว/อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 57.6% และอันดับสาม ใช้เพื่อค้นหาข้อมูล 56.5%

ขณะที่ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ ใช้อินเทอร์เน็ตในกิจกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูล โดยมีกิจกรรมหลัก 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับหนึ่ง ใช้เพื่อรับ-ส่งอีเมล์ 82.6% อันดับสอง ใช้เพื่อค้นหาข้อมูล และอ่านข่าว/อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 73.3% และอันดับสาม ใช้เพื่ออ่านข่าว/อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 63.8% ข้อน่าสังเกตุจากการสำรวจครั้งนีคือ กลุ่มเพศที่สาม เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Device) มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ในหลายกิจกรรม ได้แก่ การใช้งานสังคมเครือข่ายออนไลน์ 85.6% , การอ่านติดตามข่าวสารและหนังสืออิเล็กทรอกนิกส์ 64.7% การซื้อขายสินค้าและบริการ39.1% ในขณะที่ กลุ่มเพศหญิง เล่นเกมออนไลน์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ 52.6%

กระแสสังคมออนไลน์ทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงจากการพูดคุยกันมาเป็นการเช็ค แชร์ และโชว์ โดย “เช็ค”คือการเช็คอินผ่าน Facebook เพื่อบอกให้คนในกลุ่มสนทนาออนไลน์รู้ว่าตอนนี้ตน ทำอะไรอยู่ที่ไหน ส่วน “แชร์” คือการโพสต์หรือแชร์ภาพที่เป็นส่วนตัวในสถานะสาธารณะ เพื่อให้มีคนติดตามหรือเพื่อดึงดูดความสนใจจากโลกสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะตอนนี้ที่วัยรุ่นไทยชอบถ่ายรูปตัวเอง หรือที่ฮิตติดปากกันในขณะนี้ว่า เซลฟี่ (Selfie) ส่วน “โชว์”คือการเซ็ตสถานภาพของตนเองในเครือข่ายสังคมออนไลน์ให้เป็นสาธารณะ เพื่อที่ว่าใครที่สนใจจะเข้ามาเป็นเพื่อนกะตน ก็สามารถเห็นข้อมูลส่วนตัวได้ทุกคน

พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ล้วนสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับตามองโดยมิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีที่อาจจะติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ใช้งานจากการเช็ค แชร์ และโชว์ เพื่อหวังผลในทรัพย์สินเงินทองหรือชีวิต จากผลการสำรวจ พบว่า กิจกรรมดังกล่าวข้างต้น เป็น 3 กิจกรรมสุดฮิตในตอนนี้ โดยเฉพาะเพศที่สามจะมีสัดส่วนการทำกิจกรรมดังกล่าวสูงกว่าเพศชายและหญิง

ขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จะมีความสุ่มเสี่ยงในเรื่องของการแชร์ภาพ/ข้อความที่อาจจะไม่เหมาะสม โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลและแหล่งที่มาก่อน ส่วนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ จากผลการสำรวจ พบว่า มีคนซื้อของผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ตพีซี เพียง 38.8% และมีคนทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เพียง 29.8% เท่านั้น

พฤติกรรมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ คนซื้อของแพง ชอบจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ส่วนคนซื้อของถูก ชอบโอนเงินผ่านธนาคารมากกว่า ในขณะที่คนชอบโอนเงินมูลค่ามากกว่า 50,000 บาท ทำธุรกรรมผ่านมือถือ โดยเข้าผ่านหน้าเว็บไซต์ของธนาคารมากกว่าการเข้าแอปพลิเคชัน พฤติกรรมเช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้บอกเลขที่บัตรเครดิตหรือเลขที่บัญชีธนาคารผ่านเว็บไซต์ที่ทำเลียนแบบ หรือที่เรียกว่า Phishing ส่วนพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงจากการใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่เช่น การละเลยไม่ติดตั้งโปรแกรม Anti-virus มีคนตอบว่าไม่ทำ สูงถึง 51.1% ส่วนคนที่เลิกใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนที่แล้ว ไม่ล้างข้อมูลออกจากเครื่อง มีผู้ตอบ 37.1%และละเลยไม่กำหนดรหัสผ่านเข้าใช้งานเครื่องมีเพียง 25% เท่านั้น

“ETDA มีแผนจะสำรวจในลักษณะนี้เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง.


Submitted by Manager 360 PRNews on Tue, 08/19/2014

34
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์-ความคืบหน้าเรื่องปรับเงินเดือน หรือโบนัส กลายเป็นเรื่องที่ข้าราชการไทย ติดตามมากที่สุดไปแล้ว หากในรัฐบาลปกติก็จะถูกมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม เอาใจข้าราชการ
       
       แต่เฉพาะในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ผู้ใหญ่ใน คสช.ก็หวังที่จะใช้เป็นการกระตุ้นแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างคราวการประชุมบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงต้นๆ หัวหน้า คสช.สั่งการให้ไปดูว่า จะปรับฐานอัตราเงินเดือนทั้งระบบ เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 8 ของฐานอัตราเงินเดือนเดิม และกำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้แก่ชั้นผู้น้อย โดยไม่ปรับเพิ่มเงินเดือน ได้หรือไม่
       
       จากเดิมกำหนดกรอบเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว 1,500 บาท โดยเมื่อรวมกับเงินเดือนแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 9,000 บาท แต่ไม่สูงกว่า 12,285 บาท ปรับเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว 2,000 บาท โดยเมื่อรวมกับเงินเดือนแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท หรือไม่สูงกว่า 13,285 บาท
       
       มีความคืบหน้าว่า ขณะนี้ “กรมบัญชีกลาง” ก็ยังคำนวณตัวเลขร่วมกับหลายๆ หน่วยงาน ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า 1 ตุลาคม 2557 นี้จะมีการปรับขึ้นทันหรือไม่ นี้ก็เข้าเดือนกันยายนแล้ว อีกไม่กี่วันก็สิ้นเดือน เพราะหาก คสช.หรือ ครม.ชุดใหม่ พิจารณาแล้ว ก็ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการจะนานไหมก็ต้องจับตาดู
       
       แต่ที่แน่ๆแว่วว่า “สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)” ได้พิจารณาได้ข้อสรุป 4 แนวทาง คือ 1)ปรับฐานอัตราเงินเดือนทั้งระบบเพิ่มขึ้น 8% ของฐานเดิม 2)กำหนดเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว (พชค.) ให้ข้าราชการชั้นผู้น้อย โดยไม่ปรับเพิ่มเงินเดือน จากเดิมกำหนดกรอบ พชค. 1,500 บาท รวมเงินเดือนแล้วไม่ต่ำกว่า 9,000 บาท แต่ไม่สูงกว่า 12,285 บาท ปรับเป็น พชค. 2,000 บาท เมื่อรวมกับเงินเดือนต้องไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท หรือไม่สูงกว่า 13,285 บาท 3)ยกฐานอัตราเงินเดือน และเพิ่มเพดานอัตราเงินเดือนให้เหมาะสม 4)ปรับปรุงเงินตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำการ และค่าตอบแทนอื่น
       
       ขณะที่“กรมบัญชีกลาง”ก็เตรียมเสนอคสช.หรือรัฐบาลชุดใหม่แล้ว โดยจะปรับให้กลุ่มที่มีรายได้น้อยก่อน ด้วยวิธีปรับเงิน พชค. ข้าราชการชั้นผู้น้อยทุกประเภท และทหารกองประจำการ ใช้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 2,300 ล้านบาท หรือเดือนละ 190 ล้านบาท
       
       มีข้อมูลว่า เฉพาะทหารกองประจำการ ที่มี 2.5 แสนนาย ก็จะใช้เกณฑ์เดียวกันกับ พชค. แต่ทหารจะเรียกเบี้ยเลี้ยงประจำการ เฉพาะส่วนนี้ใช้งบฯเพิ่ม 1,170 ล้านบาท/ปี หรือเดือนละ 97 ล้านบาท ซึ่งรวมอยู่ใน 2,300 ล้านบาท
       
       ส่วนการปรับฐานเงินเดือนทั้งระบบ 8% อาจไม่ปรับครั้งเดียว ทำเป็นช่วงเวลา หลายบัญชี แล้วค่อยปรับทีละบัญชีตามความเหมาะสม เช่น ปรับตามบัญชี ก. ก่อน เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นค่อยปรับใช้บัญชี ข. และ ค. ตามลำดับ
       
       แต่หากปรับเงินเดือน 8% (2 ขั้น) ประเมินว่าต้องใช้งบฯเพิ่ม 3,800 ล้านบาท/เดือน หรือ 45,600 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้มีส่วนการปรับเงินบำนาญแก่ผู้รับเบี้ยหวัด บำนาญ จะใช้งบฯเพิ่มเดือนละ 700-800 ล้านบาท
       
       ข่าวเงินเดือนนี้ มีอีกข่าวที่สอดรับกัน มีประเด็นว่า กรรมาธิการงบประมาณ 2558 ได้รับคำสั่งจากคสช.ให้ปรับลดงบประมาณ จากทุกส่วนราชการ 400 แห่ง เพื่อนำงบที่ได้ อาจจะประมาณ 4 หมื่นล้านบาท นำไปใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการทุกระดับขั้น รวมไปถึง ข้าราชการบำนาญ ทหาร ตำรวจ ในปีงบประมาณ 2558นี้
       
       แต่หากลดงบประมาณได้อย่างน้อย 2 หมื่นล้านบาท ก็อาจจะขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ได้ในวันที่ 1 เมษายน 2558 แต่ข่าวว่า ทางคสช.อยากให้ตัดงบให้ได้ 4 หมื่นล้านบาท เพื่อขึ้นเงินเดือนทันทีในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการ พร้อมทั้งเป็นการต้อนรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่
       
       แต่ที่แน่ๆ ข่าวว่า ข้าราชการชั้นผู้น้อยจะได้ปรับก่อน เพราะตอนปรับเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 1.5 หมื่นบาท กลุ่มที่ต่ำกว่าปริญญาตรีไม่ได้ปรับ พชค.ด้วย
       
       กลับมาดูการประชุม คสช. ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน ๆทองๆข้าราชการ ก่อนจะปรับเปลี่ยนไปเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 1”ในวันที่ 9 กันยายนนี้ ตามโรดแมปของนายกรัฐมนตรีที่ว่าเอาไว้
       
       ช่วงต้นๆ คสช.ได้ออกประกาศว่าด้วยเรื่องการเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ชคบ.) ให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินต่ำกว่าเดือนละ 9,000 บาท ปรับให้ได้รับ ชคบ.เพิ่มเป็น 9,000 บาท/เดือน มีผู้อยู่ในข่ายได้รับ ชคบ.เพิ่ม 70,000 คน ใช้งบฯเพิ่ม 151 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 10 ก.ค. 2557 ,มีการเพิ่มกำหนดอัตราค่าครองชีพชั่วคราวตุลาการศาลปกครองทุกระดับ 380ล้านบาท ให้เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม นี้
       มีการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ในส่วนของงบกลางจำนวน 180 ล้านบาท เพื่อชดเชยเป็นเงินเดือนแรกบรรจุให้กับ “ข้าราชการทหารชั้นผู้น้อยของกองบัญชาการกองทัพไทย” ที่บรรจุเข้ารับราชการเป็นทหารก่อนวันที่ 1 ม.ค.56 ให้สอดคล้องกับบัญชีเงินเดือนใหม่ของข้าราชการพลเรือนตามมติครม.เมื่อวันที่ 10 เม.ย.55 จำนวน 9,231 คน แบ่งเป็นระดับชั้นสัญญาบัตร1,586 คน และระดับชั้นประทวน 7,645 คน
       
       เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการคลังมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม ปีงบประมาณ2556 - 2561 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและจูงใจให้ทหารที่จะออกจากราชการ งบประมาณ1,982 ล้านบาท
       
       หลายวันก่อน คสช. ก็เห็นชอบ ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย เพิ่มขึ้น ในอัตราร้อยละ 5 มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 โดยระยะเวลาการปรับขึ้นเงินค่าตอบแทน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2554 ปรับใหม่ เป็น อัตราขั้นต่ำ 8,610 บาท และอัตราขั้นสูง 12,285 บาท และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป อัตราขั้นต่ำ 9,000 บาท อัตราขั้นสูง 12,285 บาทเช่นเดิม
       
       นอกจากมติ คสช. แล้ว ตอนนี้ เห็นว่า คสช. สั่งการให้ สคร. ไป รื้อเกณฑ์โบนัส-เงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจใหม่ มีการคาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2558 โดยจะมีการให้โอกาสรัฐวิสาหกิจที่มีผลประกอบการขาดทุนอาจจะได้รับโบนัสกับเขาด้วย
       
       เรื่องเงินเดือนนี้ เห็นว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เตรียมข้อมูล โดยเฉพาะกลุ่มที่อัตราเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาทไว้แล้ว แต่ติดอยู่ที่กลุ่มลูกจ้างที่ต้องจ้างด้วยเงินนอกงบประมาณ เรื่องนี้ถึงสำนักงบประมาณแล้ว
       
       ขณะที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำกับโดยกระทรวงมหาดไทย ข่าวว่า มีออกระเบียบว่าด้วยเงินเดือนและค่าตอบแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำหรับผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ใหม่ มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป
       
       มีการแจ้งประกาศ ต่อคณะกรรมการกลางข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ก.จ.) คณะกรรมการกลางพนักงานเทศบาล (ก.ท.) และคณะกรรมการกลางพนักงานส่วนตำบล (ก.อบต.) เพื่อนปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น ลูกจ้าง พนักงานจ้างของ อปท. แล้ว
       
       เมื่อได้ก็ต้องมีเสีย โดยเฉพาะเรื่อง “การเบิกจ่ายเงินโบนัสของ อปท.ให้ทันเบิกจ่ายปีงบฯ 57” เชื่อว่าจะยังคาราคาซังไปอีกนาน แม้จะมีการเรียกร้องมาหลายครั้งแล้ว ตามแผนเพจ “ปลัดเชื้อ ฮั่นจินดา” ระบุตอนหนึ่งว่า
       
       “เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำลังดูรายละเอียดการปรับเปลี่ยนการเสนอให้เงินโบนัสให้เป็นเงินรายจ่ายอื่นๆ ในงบประมาณปี 57 โดยให้นำการจ่ายเงินโบนัสของปี 55/56 มาจ่ายรวมในงบปี 57 พร้อมกัน อยู่ที่กระทรวงมหาดไทย จะว่ายังไง ต่อวิธีการแก้ปัญหาการเบิกจ่ายเงินโบนัส”
       
       เรื่องนี้ฟันธงเลยว่า คงรอรัฐมนตรีมหาดไทยคนใหม่ ที่จะมากำกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อพิจารณา ขอตอนแทนเลยว่า น่าจะแห้ว!!


 ASTVผู้จัดการรายวัน    6 กันยายน 2557

35
หน้าร้อนปี 2014 กลายเป็นซัมเมอร์ที่ย่ำแย่ที่สุดของฮอลลีวูดในรอบ 17 ปี เลยทีเดียว จนมีความเห็นว่าผู้ชมอาจจะเริ่มเบื่อหน่ายหนังภาคต่อ และหนังที่เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษทางคอมพิวเตอร์แล้ว
       
       สำหรับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดนั้น ช่วงเวลาระหว่างสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. จนไปถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ส.ค. คือช่วงเวลาที่เรียกว่า “ซัมเมอร์” และนับเป็นจังหวะเวลาแห่งการทำเงินทำทอง และโกยรายได้ของบรรดาสตูดิโอต่างๆ เพราะถือว่าเป็นช่วงที่ผู้คนส่วนใหญ่จะออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านกัน ผู้สร้างหนังจึงมักจะเข็นผลงานฟอร์มยักษ์ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยออกมาช่วงนี้
       
       แต่สำหรับซัมเมอร์ปี 2014 ในฮอลลีวูดทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาด เมื่อหนังทุกเรื่องทำรายได้รวมกันได้แค่ 4,050 ล้านเหรียญฯ เท่านั้นถือว่าตกลงจากปีก่อนถึง 15% และยังน้อยที่สุดนับจากปี 2006 ที่ฮอลลีวูดทำเงินในปีนั้นไป 3,750 ล้านเหรียญฯ ด้วย
       
       แต่ พอล เดอกาเบเดียน นักวิเคราะห์ชื่อดังจาก Rentrak ได้ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ต่างๆ นั้นแย่กว่าที่ทุกคนคิดเสียอีก เพราะหากปรับค่าเงินเฟ้อแล้วนับว่าซัมเมอร์ปี 2014 เป็นหน้าร้อนของฮอลลีวูดที่หนังทำเงินได้น้อยที่สุดนับจากปี 1997 เลยทีเดียว
       
       ซึ่งอันที่จริงแล้วตัวเลขรายได้ของฮอลลีวูดในซัมเมอร์ปี 2014 น่าจะแย่กว่านี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้าย Teenage Mutant Ninja Turtles ที่เข้าฉายปิดท้ายหน้าร้อนปีนี้ ก็ช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆ กระเตื้องขึ้นมาบ้างด้วยการกวาดเงินไปแล้วถึง 174 ล้านเหรียญฯ ทำให้ตัวเลขรายได้รวมทะลุขึ้นมาถึงหลัก 4 พันล้านเหรียญฯ ได้ในที่สุด
       
       ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยฮอลลีวูดก็ยังมีหนังซูเปอร์ฮีโร่ 2 เรื่องจากค่าย Marvel ที่ทำเงินสูงเป็นอันดับ 1 และ 2 ในซัมเมอร์นี้ โดยหนังฮีโร่แนวตลกขายขำที่ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยของเหล่าตัวละครที่แฟนหนังส่วนใหญ่คงไม่ได้คุ้นเคยนักอย่าง Guardians of the Galaxy กลับทำเงินมาเป็นอันดับ 1 และยังสามารถแซงหน้าเพื่อนร่วมค่าย Captain America: The Winter Soldier ได้ด้วย
       
       ถึงตอนนี้ Guardians of the Galaxy กวาดเงินในสหรัฐฯ ไปถึง 295 ล้านเหรียญฯ แล้วยังคงเดินหน้าทำเงินได้อย่างต่อเนื่อง เพราะกระแสปากต่อปากของหนังยังคงทำงานต่อไป ขณะที่ Captain America: The Winter Soldier ทำเงินไปทั้งสิ้น 259 ล้านเหรียญฯ อย่างไรก็ตามการที่ Guardians of the Galaxy ทำเงินไม่ถึง 300 ล้านเหรียญฯ ได้ทำให้ต้องบันทึกเอาไว้ว่าซัมเมอร์ปี 2014 ถือเป็นหน้าร้อนแรกในรอบ 13 ปี นับจากปี 2001 ที่ไม่มีหนังฮอลลีวูดเรื่องใดทำเงินเกิน 300 ล้านเหรียญฯ เลย
       
       โดยนอกจากผลงานของค่าย Marvel และ Disney แล้ว หนังที่ทำเงินไปใช้ได้ในซัมเมอร์ปีนี้ก็คือ Transformers: Age of Extinction ที่กวาดเงินไป 244 ล้านเหรียญฯ ส่วน Teenage Mutant Ninja Turtles ก็ทำเงินไปสูงกว่าที่ทุกฝ่ายคาด และ 22 Jump Street เป็นหนังตลกฮิตประจำซัมเมอร์ 2014 ด้วยรายได้ถึง 190 ล้านเหรียญฯ เช่นเดียวกับหนังภาคต่อที่มีแฟนประจำรอดูอยู่แล้วอย่าง X-Men: Days of Future Past, Dawn of the Planet of the Apes และ The Amazing Spider-Man 2 ก็ทำเงินไปไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีเรื่องใดที่หวือหวาขึ้นมา
       
       สำหรับหนังที่น่าผิดหวังกลับมีอยู่หลายเรื่องทั้ง Hercules ของ เดอะ ร็อค ที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ส่วน Edge of Tomorrow ของ ทอม ครูซ แม้จะทำรายได้นอกสหรัฐฯ ไปไม่น้อย แต่รายได้ในบ้านเกิดที่ประมาณ 100 ล้านฯ ก็ถือว่าน้อยไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับทุนสร้างประมาณ 178 ล้านเหรยญฯ
       
       และที่น่าผิดหวังที่สุดก็น่าจะเป็นหนังรวมดารา The Expendables 3 ที่ระดมดารามาประชันบทบาทมากมาย แต่กลับทำรายได้ถึงตอนนี้ได้แค่ 37 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น จนผู้สร้างได้ออกมาเปรยแล้วว่า หากคิดจะมีการสร้าง The Expendables 4 ต่อไป ก็อาจจะต้องทำหนังออกมาเพื่อเน้นขายในตลอดหนังต่างประเทศโดยเฉพาะเอเชียเป็นหลักแทน
       
       อย่างไรก็ตาม รายได้ของหนังเด่นๆ ในปี 2014 อย่าง Guardians of the Galaxy, Guardians of the Galaxy และ Captain America: The Winter Soldier กลับเทียบไมได้เลยเมื่อเปรียบกับหนังดาวเด่นของซัมเมอร์ปี 2013 อย่าง Iron Man 3, Despicable Me 2 และ Man of Steel ที่ทำเงินไป 409, 368 และ 291 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ
       
       ทอม นูแนน แห่งสาขาภาพยนตร์ของ University of California Los Angeles (UCLA) ได้แสดงความเห็นถึงความล้มเหลวของปี 2014 ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นปัญหาจากการที่ผู้สร้างทำหนังโดยอาศัย “รูปแบบตายตัว” มากเกินไป หรือจะพูดอีกอย่างว่าคนดูเริ่มจะเบื่อหน่ายกับรูปแบบต่างๆ ที่ซ้ำซากจำเจของฮอลลีวูดแล้ว “เราเข้าใจว่านี่คือธุรกิจ และหนังภาคต่อก็เป็นหนังที่ผู้สร้างพอจะคาดเดาผลตอบรับของหนังได้มากกว่า หนังใหม่แกะกล่อง แต่จะพยายามทำออกมาให้มันแปลกใหม่มากกว่านี้ไม่ได้เลยรึ?” นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยดังกล่าว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กันยายน 2557

36
 “หากเข้าไปใน Google พิมพ์คำว่า โบท็อกซ์ จะเห็นว่ามีเว็บไซต์ขายโบท็อกซ์หิ้วกันเต็มไปหมดเลย บ้างก็บอกว่าขวดละ 2,800 บาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะต้นทุนจริงๆ ก็เป็นหมื่นแล้ว”

       นพ.วรพล สุขีวัฒนา ผู้ก่อตั้ง Doctor Tony Beauty Clinic และแพทย์ที่ปรึกษาและเทรนเนอร์ประจำบริษัท Allergan ผู้ผลิต Botox จากสหรัฐอเมริกา กล่าวถึงโบท็อกซ์หิ้วที่ขายกันอย่างโจ๋งครึ่มและย้ำด้วยว่า โบท็อกซ์จีน และเกาหลี เสี่ยงอันตราย!
       
       พร้อมกล่าวถึงคุณสมบัติและคุณประโยชน์ของโบท็อกซ์ว่าทำไมถึงนิยมฉีดจิ้มกันนักค่ะ
       
       "Botox เป็นชื่อทางการค้าของ botulinum toxin A ซึ่งสกัดมาจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Clostridium Botulinum มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท โดยจะไปยับยั้งเซลล์ประสาทไม่ให้ผลิตสาร acetylcholine ซึ่งเป็นสารที่สั่งให้กล้ามเนื้อยืดและหดตัว
       
       จากคุณสมบัติที่ต่อต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ จึงนำมาใช้ในทางการแพทย์ เพื่อลดรอยย่นต่างๆ โดยทำให้ผิวหน้าบริเวณหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว และรอยตีนกาหายไป ผิวหนังจะกระชับมากยิ่งขึ้น
       
       โบท็อกซ์ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ สิ่งสำคัญอยู่ที่ความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์ที่ฉีดให้ และการฉีดให้ถูกตำแหน่งในปริมาณที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน

       จีนเขาปลอมกล่องก็เหมือน ขวดก็เหมือน สติ๊กเกอร์สายรุ้งก็ปลอมได้
       
       ขนาดบางทีคุณหมอบางคนยังดูไม่ออกเลย เพราะเขามาในลักษณะเป็นพนักงานขายมาตามคลินิก บอกว่า มีโบท็อกซ์หลุดมา นำเข้ามาจากเมืองนอก ตุรกี สนใจมั้ย คุณหมอบางท่านก็ไม่ทราบ เพราะดูยากมาก”
       
       และส่วนใหญ่ พนักงานขายมักจะบอกว่า เป็นโบท็อกซ์มาจากตุรกี เพื่อที่เราจะได้หาแหล่งที่มาที่ไปให้ยากหน่อยนั่นเอง คุณหมอวรพล บอกสาเหตุ
       
       เกมจับผิดโบท็อกซ์อันไหนแท้-ปลอม!

       อุต๊ะ! เห็นภาพดูออกกันบ้างไหมคะ ว่าอันไหนของจริง หรือของปลอม ยอมรับค่ะว่า หานานมากจุดสังเกตก็ยังแยกไม่ออก ปลอมเนียนขั้นเทพจริงๆ
       
       งั้นเรามาเรียนรู้วิธีการสังเกตว่าอันไหนของแท้ของเทียมจาก คุณหมอวรพล กูรูโบท็อกซ์ กันดีกว่า

       กล่องยาต้องมีเลขทะเบียนกำกับ Reg. No. 1C 21/55 (NB) และระบุนำเข้าโดย บริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด, กรุงเทพฯ
       
       พื้นกล่องเป็นสีม่วง ในกรณี 100 units และเป็นสีน้ำตาลแดง ในกรณี 50 units และมีตัวหนังสือสีขาวลักษณะบุ๋ม


       ขวดยาแทบไม่เห็นผงยาติดอยู่เลย อาจเห็นเป็นคราบสีขาวขุ่นอยู่ทีก้นขวด เนื่องจากใช้เทคนิคการผลิตที่ไม่เหมือนใคร ที่เรียกว่า Vacuum drying process
       
       ที่สำคัญคือ ฉลากข้างขวด เมื่อส่องไฟจะมีคำว่า Allergan ปรากฎอยู่ อันนี้ต้องสังเกตเล็กน้อย


       ข้อความ รายละเอียดแบบ font หรือริ้ว 3 สี ของปลอมจะทำใกล้เคียงแต่ไม่เหมือนทีเดียว
       
       ส่วนโทษของโบท็อกซ์ปลอมนั้น มีอะไรบ้าง คุณหมอวรพล จะมาเล่าให้ฟังค่ะ
       
       ตัวยากระจายโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น หนังตาตก ปากเบี้ยว!


       คุณหมอบอกด้วยว่า โบท็อกซ์ปลอมทำให้เกิดผลแทรกซ้อนจากการกระจายตัวของยาที่มากกว่าของจริง เพราะน้ำหนักโมเลกุลมันไม่เท่ากันจะมีปัญหาหนังตาตก ปากเบี้ยว ได้มากกว่า
       
       “เพราะของแท้ตัว toxin ตามธรรมชาติ เวลาอยู่ในธรรมชาติ มันจะมีตัวเล็ก ตัวใหญ่ ตัว 150 kilodalton ตัว 300 kilodalton
       
       บริษัท Allergan เขาจะมีเทคโนโลยีในการเคลือบให้ตัวหนัก คือ Homogeneous เป็น 900 kilodalton ตันเท่ากันหมด พอมันเท่ากัน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีเวลาฉีด
       
       เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์เป็นการเล่นกับกล้ามเนื้อเล็กๆ บนใบหน้า ฉะนั้นเราต้องการให้มันกระจายให้อยู่ในกล้ามเนื้อมัดที่เราต้องการ เช่น เราฉีดยกคิ้ว ฉีดรอยตีนกา รอยขมวดคิ้ว บริเวณหน้าผาก เราก็ไม่ต้องการให้มันกระจายไปโดนกล้ามเนื้อมัดอื่น เช่น กระจายไปโดนกล้ามเนื้อที่มันดึงเปลือกตาขึ้น หนังตาก็จะตก
       
       ฉะนั้นการที่เคลือบให้มันเท่ากันได้หมด มันก็จะปลอดภัย
       
       แต่หากเป็นโบท็อกซ์ปลอม เขาก็ทำได้ แต่เทคโนโลยีเขาไม่ได้ดีขนาดของ Allergan เขาก็จะเคลือบให้มันหนักเท่ากันไม่ได้ ฉะนั้นมันจะมีตัวเล็กๆ ลอยไปไกลกว่า เพราะมันเบา สู่กล้ามเนื้อมัดที่เราไม่ต้องการให้มันไป จึงทำให้เกิดการปากเบี้ยว หนังตาตก”

       และที่น่าตกใจ...
       
       เคยมีคุณหมอเอาโบท็อกซ์จีนฉีดน่องเพราะโบท็อกซ์ช่วยทำให้น่องเล็กลงได้ สังเกตเวลาผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูง กล้ามเนื้อบริเวณน่องจะปูดเป็นลูกๆ คุณหมอก็ฉีดลดน่องแต่ฉีดเยอะไง ข้างละขวด และไม่รู้ว่ายากระจายวงกว้างไปไกลแค่ไหน ปรากฏว่าฉีดไปตอนเช้าตื่นขึ้นมา เขาลุกไม่ได้ หายใจไม่ออก มันกระจายขึ้นมาถึงกล้ามเนื้อกระบังลม เกือบตาย!
       
       จากนั้นคุณหมอลุกขึ้นไปจะขับรถ จะเหยียบคันเร่ง ไม่มีแรงเหยียบ พอถึงโรงพยาบาลก็ใส่ท่อช่วยหายใจเลย
       
       ค่ะ พิษสงของโบท็อกซ์จีนมีมากมายเหลือเกิน หนำซ้ำยังดื้อยาฉีดเท่าไหร่รอยตีนกาก็ไม่จางหาย
       
       กระหน่ำฉีดแต่ไม่ได้ผล ดื้อยาตลอดชีวิต!

       “ฉีดโบท็อกซ์บ่อยๆ จะดื้อ เมื่อมีโปรตีนเยอะ ร่างกายก็จะสร้าง antibody ขึ้นมา ครั้งต่อไปที่ฉีดมันจะไม่ได้ผล ซึ่งตัวออริจินอลจะเป็นตัวเดียวที่พิสูจน์ และมีผลการทดลองมีการวิจัยยืนยันว่า มีโปรตีนโหลดน้อยกว่า 900 นาโนกรัมต่อขวด ฉะนั้นมันน้อยมาก ในขณะที่ยี่ห้ออื่นเขาอาจจะไม่ได้ purify ได้ขนาดนั้น
       
       และโบท็อกซ์เป็นยี่ห้อเดียวที่มีผลการวิจัยยาวนานสูงสุดถึง 10 ปี โดยให้คนมาฉีดต่อเนื่องเป็น 10 ปี ก็ยังไม่ดื้อ เพราะตอนนี้ก็มีคนใช้พวกโบท็อกซ์เกาหลี โบท็อกซ์จีน แล้วดื้อยา ฉีดแล้วกรามไม่ลง หรือตีนกาไม่หาย มาหาหมอเยอะเหมือนกัน เคสพวกนี้ถ้าเกิดขึ้นแล้ว และมาหาหมอก็ต้องทดสอบก่อนว่า เขาดื้อยาจริงหรือเปล่า หรือหมอฉีดไม่ถูกมัดแล้วไม่ได้ผล ทดสอบด้วยการฉีดหน้าผากครึ่งหนึ่ง แล้วให้คนไข้มาอีกที 2 อาทิตย์ แล้วให้ลองเลิกคิ้ว ถ้ามันเวิร์ค ฉีดแล้วใช้ได้ ก็แสดงว่าเป็นเรื่องของเทคนิคคุณหมอที่ฉีดมาก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่หากทดสอบแล้วเลิกคิ้วได้ปกติ ริ้วรอยยังมีเหมือนเดิม แม้แต่ในข้างที่ฉีดก็แปลว่าดื้อยาแล้ว พอมันดื้อปุ้บจะทำให้ดื้อยาตลอดชีวิต

       เหตุเพราะ botulinum toxin ที่เราใช้ทุกยี่ห้อตอนนี้ในท้องตลาด เป็น botulinum toxin Type A เหมือนกันทั้งหมด สมัยก่อนจะมี Type B แต่ความเวิร์คมันสู้ Type A ไม่ได้ ตอนนี้เขาก็เลิกผลิตหายไปแล้ว ดังนั้นหากเราดื้อ Type A ไปแล้ว มันก็จะดื้อทุกยี่ห้อ เพราะทุกยี่ห้อ Type A หมด ไม่ได้แปลว่าคุณไปฉีดของเกาหลีดื้อแล้วมาฉีดโบท็อกซ์แท้มันจะเวิร์ค มันไม่ใช่แบบนี้ ต้องให้คนไข้รอเลย 1-2 ปี ต้องลองมาฉีดใหม่ ถ้าโชคดีก็อาจจะได้ผล แต่ส่วนใหญ่จะไม่เวิร์ค”
       
       อย่างไรก็ตาม คุณหมอวรพล แนะนำว่า ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ถี่ มากกว่า 3 เดือนครั้ง เพราะการฉีดบ่อยมากกว่านั้น อาจจะทำให้เกิดการดื้อยาได้ แม้จะเป็นของจริงก็ตาม
       
       หมอไร้จรรยาบรรณ! ดูดโบท็อกซ์ปลอมมาใส่ขวดจริง!

       "จรรยาบรรณแพทย์เป็นสิ่งสำคัญมากครับ" คุณหมอกล่าว
       
       เพราะบางทีขวดโบท็อกซ์ที่เราเห็นว่า ของจริง แต่ข้างในขวดนั้นกลับเป็นตัวยาปลอมที่ดูดมาจากขวดของเก๊!
       
       "ก่อนฉีดโบท็อกซ์คนไข้ลองขอกล่องยาและขวดยาจากคุณหมอดูได้นะว่า ของจริงหรือปลอม แต่ก็ไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจริงเสมอไปหรอก เพราะเป็นเรื่องของจรรยาบรรณแพทย์ด้วย น้องพนักงานที่มาสมัครงานเล่าว่า คลินิกที่เคยอยู่มาก่อน หมอจะเอาโบท็อกซ์เกาหลี หรือจีน ดูดขึ้นมา แล้วนำมาใส่ขวดโบท็อกซ์ของจริง เรื่องนี้มีอยู่จริงในวงการคลินิกความงาม
       
       ดังนั้น ควรโทรไปถามที่บริษัท Allergan ได้เลยว่า อยากจะฉีดโบท็อกซ์ บ้านอยู่แถวนี้ ไปฉีดที่ไหนดี เพราะบริษัทเขาก็จะมี record ว่าคลินิกไหนที่สั่งยาเยอะๆ หรืออย่างคุณหมอบางคนสั่งแค่ไม่กี่ขวด 1-2 ขวดเอามาติดคลินิกไว้เพื่อ ว่าทางคลินิกใช้ของจริงนะ ตั้งโชว์ไว้"
       
       สุดท้ายคุณหมอแนะนำให้เลือกสถานพยาบาล คลินิก
       
       "เลือกสถานพยาบาล คลินิกที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือได้ เลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะการฉีดโบท็อกซ์จะต้องอาศัย Learning Curve คุณหมอจะต้องมีประสบการณ์ในการฉีดมาก เนื่องจากการฉีดโบท็อกซ์เป็นการเล่นกับกล้ามเนื้อเล็กๆ บนใบหน้า และเส้นเลือดบนใบหน้าจะมีเยอะ จึงต้องฉีดด้วยความระมัดระวังมาก และต้องมีความรู้ด้านกายวิภาคบนใบหน้าเป็นอย่างดี"


ASTVผู้จัดการออนไลน์  8 กันยายน 2557 1

37
 วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ผลิต “เห็ดอัดเม็ด” และ “ผักอัดเม็ด” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับคนรักสุขภาพ ผู้นิยมรับประทานมังสวิรัติ ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย ทั้งยังช่วยลดปัญหาเห็ดล้นตลาดให้แก่เกษตรกร

       ศาสตราจารย์ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ อธิการวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ได้จัดทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เห็ดอัดเม็ด” และ “ผักอัดเม็ด” โดยสามารถรับประทานได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องรอฤดูกาล ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่าเห็ดและผักมีคุณประโยชน์ที่หลากหลาย มีส่วนประกอบของโพลิแซคคาไรด์ ทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เมื่อเทียบกับผักอีกหลายชนิด โดยการผลิตเห็ดอัดเม็ดจะรับวัตถุดิบจากฟาร์มเห็ดที่มีคุณภาพ และรับเฉพาะเห็ดออร์แกนิคที่ไร้สารเคมีเจือปนเท่านั้น จึงมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพและความสะอาด ทั้งนี้ นอกจากจะแก้ไขปัญหาในเรื่องของเห็ดล้นตลาดให้แก่เกษตรกรแล้ว ยังเหมาะกับคนรักสุขภาพ ทานมังสวิรัติ และผู้สูงอายุที่เคี้ยวอาหารไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย เพียงแค่ทานเห็ดอัดเม็ดเข้าไปก็จะได้รับสารอาหารและกากใยที่เพียงพอ

       “เหตุผลที่เลือกใช้วิธีอัดเม็ดแทนการบรรจุแคปซูลเพราะจะสามารถคงคุณค่าของสารอาหารได้มากกว่า และในอนาคตจะพัฒนาสู่การเคลือบเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัวของเห็ด รวมทั้งจะนำเห็ดที่มีสรรพคุณใกล้เคียงกันมาผสมกัน หรือนำผักอัดเม็ดมาเสริมในเม็ดเดียวกันด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารที่มากขึ้น โดยแต่ละชนิดมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน บางชนิดมีผลต่อทางเดินหายใจ บางชนิดมีผลต่อระบบย่อยอาหาร บางชนิดมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ถ้าเราจับมารวมกันเป็นกลุ่มไปแล้วมาทำเป็นเม็ดจะทำให้มีประโยชน์มากกับผู้บริโภคทั่วไป อีกทั้งยังสะดวกในการพกพาเป็นโปรตีนเสริมสำหรับคนรับประทานมังสวิรัติ” อธิการวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเสริม

ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กันยายน 2557

38
จีนสั่งปลิดชีพเจ้าตูบจรจัดหลายพันตัว พร้อมส่งวัคซีนป้องกันโรคร่วมแสนชิ้น หลังพบชาวบ้านเสียชีวิตเพราะ “โรคพิษสุนัขบ้า”
       
       สำนักข่าวซินหวา รายงาน (7 ส.ค.) ทางการท้องถิ่นได้ออกคำสั่งฉุกเฉิน ให้สังหารสุนัขเร่ร่อน จำนวน 4,900 ตัว ในเมืองเป่าซาน มณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ เนื่องจากพบประชาชน 5 ราย เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า
       
       โดยยังสั่งกระจายวัคซีนป้องกันโรคฯ 100,000 หลอด พร้อมกำกับควบคุมสัตว์พาหะนำโรคอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น เป็นไปตามแผนปราบปรามและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งองค์การอนามัยโรค (WHO) ระบุเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ระบาดสู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสเรบีส์ (Rabies) อันมีฤทธิ์ทำให้สมองและเส้นประสาทไขสันหลังอักเสบรุนแรงจนเสียชีวิตได้
       
       ที่ผ่านมารัฐบาลจีนมักฆ่าตัดตอนหรือห้ามพลเมืองเลี้ยงสุนัข เพื่อจำกัดวงของโรคมรณะนี้ แต่ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรักสัตว์และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์ ที่เรียกร้องวิธีฆ่าเชื้อโรคและฉีดวัคซีนแก่เจ้าตูบมากกว่าประหัตประหารเอาชีวิต
       
       ปี 2552 เจ้าหน้าที่เมืองฮั่นจงของมณฑลส่านซี ฆ่าสุนัขกว่า 37,000 ตัว หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ส่วนชาวบ้านเมืองเว่ยหนันสามารถเลี้ยงสุนัขขนาดเล็กที่หนักน้อยกว่า 5 กก. ได้ 1 ตัว โดยต้องแสดงใบอนุญาตและหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สุนัขกับทางการ
       
       ด้านนครก่วงโจว (กวางเจา) เมืองเอกของมณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ทางจีนตอนใต้ ประกาศแผนจดทะเบียนสุนัขในปีเดียวกัน โดยสุนัขที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน จะถูกนำตัวไปไว้ที่สถานพักพิงสัตว์เลี้ยงของเมือง
       
       ปลายปี 2553 มหานครเซี่ยงไฮ้เสนอแผนทำลายสุนัขจรจัดหลังพบอัตรากัดทำร้ายผู้คนเพิ่มขึ้น จากปริมาณเฉลี่ย 100,000 ครั้ง เป็น 140,000 ครั้งต่อปี ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนในประชาชนบางกลุ่ม
       
       ทั้งนี้ ในช่วงแรกเริ่มของยุคคอมมิวนิสต์ การเลี้ยงสุนัขนับเป็น “เรื่องต้องห้าม” ทว่าต่อมาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายและกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นของหมู่เศรษฐีร่ำรวยบนจีนแผ่นดินใหญ่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 กันยายน 2557

39
จะเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯที่ถุงพลาสติกชอปปิงแบบใช้แล้วทิ้งจะกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมายทั่วทั้งรัฐแคลิฟอร์เนีย หลังผู้ว่าการรัฐ เจอร์รี บราวน์ จากพรรคเดโมแครตประกาศกร้าวจะลงนามบังคับใช้ร่างกฏหมายฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่านรัฐสภาประจำรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       สื่อสหรัฐฯ NBC รายงานเมื่อวานนี้(5)ว่า ในระหว่างช่วงตอบคำถามของการดีเบตสรรหาตัวแทนลงสมัครผู้ว่าการรัฐในวันพฤหัสบดี(4) ที่มี นีล คาชคารี (Neel Kashkari)เป็นผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน โดยผู้ว่าการรัฐ เจอร์รี บราวน์ จากพรรคเดโมแครตได้ประกาศว่า เขาจะลงนามในร่างกฎหมายห้ามให้ร้านค้าในรัฐแคลิฟอร์เนียบริการถุงพลาสติกแก่ลูกค้า หลังจากร่างกฏหมายฉบับนี้ผ่านสภารัฐแคลิฟอร์เนียในสัปดาห์ที่ผ่านมา
       
       ที่ผ่านมามีเมืองทั่วรัฐแคลิฟอร์เนียร่วม 50 รัฐ อาทิ ริชมอนด์ ประกาศห้ามไม่ให้ร้านค้าให้บริการถุงพลาสติกภายในเมืองนั้นๆ สร้างความสับสนแก่ร้านค้า โดยเฉพาะห้างค้าปลีกเครือข่ายทั่วประเทศที่ต้องการให้มีมาตรฐานเดียวทั่วแคลิฟอร์เนีย บราวน์แถลง นอกจากนี้ยังเสริมว่า ร่างกฏหมายถุงพลาสติกยังตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงเศรษฐกิจ และยังเป็นสิ่งที่บรรดาร้านค้าต้องการ
       
       แต่ทว่า คาชคารี ผู้ท้าจริงแสดงจุดยืนว่า หากเขาเป็นผู้ว่าการรัฐ เขาจะไม่ยอมลงนามบังคับใช้กฏหมายฉบับนี้
       ทั้งนี้กฎหมายห้ามใช้ถุงพลาสติกถือเป็น “เรื่องร้อน” ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเป็นที่จับตาจากรัฐอื่นๆ เหมือน เช่น รัฐนิวยอร์กเคยประกาศไม่ให้จำหน่ายเครื่องดื่มผสมก๊าซในขนาดจัมโบ้ อย่างไรก็ตามกฏหมายฉบับนี้อนุญาตให้ร้านค้าสามารถเปลี่ยนให้บริการถุงกระดาษแทน หรือจำหน่ายถุงพลาสติกแบบหนาที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลายครั้ง
       
       นักสิ่งแวดล้อมต่างสนับสนุนร่างกฏหมายนี้ พร้อมให้ความเห็นว่า ถุงพลาสติกชอปปิ้งอาจคุกคามชีวิตสัตว์น้ำได้ และอีกทั้งถุงพลาสติกประเภทนี้ล้วนสร้างปัญหาต่อชุมชนทำให้เกิดขยะจำนวนมาก ในเมืองของสหรัฐฯที่มีประชากรรายได้น้อยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากมักมีปัญหาขยะตกค้างตามมา เพราะเมืองไม่เงินสนับสนุนมากพอที่จะทำความสะอาดแหล่งสาธารณะอย่างสม่ำเสมอเหมือนเช่นเมืองที่ร่ำรวยกว่า นอกจากนี้ประชาชนอเมริกันที่มีรายได้น้อยไม่สามารถจ่ายค่าเก็บขยะรายเดือนได้ เช่น ในบางเมืองประชาชนต้องจ่ายขั้นต่ำถึง 70 ดอลลาร์ต่อเดือนสำหรับการเก็บขยะสัปดาห์ละครั้ง และหากมีสิ่งของขนาดใหญ่ที่ต้องทิ้ง เช่น โทรทัศน์ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า ผู้บริโภคอเมริกันต้องจ่ายเพิ่มเป็นพิเศษหลายร้อยดอลลาร์สำหรับการขออนุญาตทิ้ง ทำให้ในชุมชนรายได้ต่ำมีขยะกลาดเกลื่อนตามทางเป็นจำนวนมาก

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 กันยายน 2557

40
นักบินผู้ช่วยของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เที่ยวบินที่ SL8537 หาดใหญ่-ดอนเมือง หมดสติกลางอากาศ กัปตันต้องนำเครื่องบินกลับมาลงฉุกเฉินที่หาดใหญ่ แต่เสียชีวิตหลังนำส่งโรงพยาบาล ขณะที่ผู้โดยสาร 152 คนปลอดภัย

เมื่อเวลา 12.50 น. วันที่ 20 ส.ค.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับเครื่องบินของสายการบินไลอ้อนแอร์ เที่ยวบินที่ SL8537 หาดใหญ่-ดอนเมือง ซึ่งเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 737-900 เมื่อนักบินผู้ช่วยเกิดหมดสติกลางอากาศขณะขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ไปยังดอนเมืองได้เพียง 20 นาที และทางกัปตันต้องแจ้งวิทยุประสานขอความช่วยเหลือมายังหอบังคับการบินท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ เพื่อขอบินกลับมาลงฉุกเฉิน และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้โดยสารทั้ง 152 คน ปลอดภัยทั้งหมด

นายเจษฎา เพ็ชรเม็ดใหญ่ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ เปิดเผยว่า เที่ยวบินนี้ออกจากสนามบินหาดใหญ่ในเวลา 12.27 น. มีผู้โดยสารทั้งหมด 152 คน ต่อมาเมื่อเวลา 12.50 น. ทางหอบังคับการบินสนามบินหาดใหญ่ได้รับแจ้งจากกัปตันว่า นักบินผู้ช่วยเกิดหมดสติ หลังบินออกจากหาดใหญ่ 20 นาที ระยะประมาณ 95 ไมล์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จึงขอบินกลับมาลงฉุกเฉินที่สนามบินหาดใหญ่ ซึ่งใกล้ที่สุด และเครื่องมาถึงในเวลา 13.21 น. ส่วนผู้โดยสารและพนักงานบนเครื่องปลอดภัยทั้งหมด

นายเจษฎา เปิดเผยต่อว่า หลังรับแจ้งทางสนามบินหาดใหญ่ได้เตรียมแผนรองรับฉุกเฉินไว้พร้อม ทันทีที่เครื่องลงจอดเรียบร้อยได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่และรถพยาบาลไปรับตัวนักบินผู้ช่วยรายนี้ส่งไปให้หน่วยแพทย์ของกองบิน 56 ซึ่งอยู่ติดกับสนามบินหาดใหญ่และใกล้ที่สุดทันที ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตโดยการปั๊มหัวใจ แต่ไม่ดีขึ้นจึงรีบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ในส่วนผู้โดยสารทั้ง 152 คน ทางสนามบินได้จัดเตรียมห้องรับรองของผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ เพื่อรอให้ทางสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ส่งนักบินมาสับเปลี่ยนขณะที่ผู้โดยสารบางส่วนก็ทยอยเดินทางไปกับเที่ยวบินอื่นๆ สำหรับนักบินผู้ช่วยที่เสียชีวิตนั้น ทราบชื่อ Mr.PETER ESBERTE อายุ 47 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตนั้น แพทย์กำลังอยู่ระหว่างการพิสูจน์เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

ไทยรัฐออนไลน์ 20 ส.ค. 2557

41
วงการผ้าเหลืองร้อนสะดุ้งอีกครั้ง หลังเกิดการแฉผ่านโลกออนไลน์ เจ้าอาวาสวัดดังร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินกว่าหนึ่งพันล้านบาท แว่วว่างานนี้เป็นคนวงในผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่ถูกสั่งปลดออกมาสาวไส้ให้กากิน ถือเป็นการเปิดศึกภายในวัดสระเกศอย่างเต็มรูปแบบ!!
       
       สนั่นวัด เปิดศึกผลประโยชน์
       
        เอาละเหวย! วงการพระพุทธศาสนาโดนเปิดโปงอีกครั้ง หลังเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ตีแผ่ความจริง คนไร้คุณธรรม ไร้ความเป็นผู้นำ” เผยข้อมูลวิเคราะห์เจาะลึกความร่ำรวยของพระรูปหนึ่งที่รวยล้นฟ้า ถึงขั้นมีไร่มีสวนหลักร้อยไร่ พ่วงธุรกิจเพาะพันธุ์สัตว์อีกหลายชนิด มีรถหรูหลายสิบคันให้เลือกใช้
       
        “เฮียเหนาะ (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ถึงเวลาแล้วที่ต้องตอบคำถามที่สังคมต่างตั้งข้อสงสัยถึงความร่ำรวยผิดปกติของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถและธุรกิจต่างๆ มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ว่ามีความเหมาะสมกับความเป็นพระหรือไม่ ท่านมีรถหรูไม่ต่ำกว่า 20 คัน มีที่มาอย่างไร มีความจำเป็นสำหรับพระมากขนาดนั้นหรือไม่
        การทำธุรกิจสวนกล้วยไม้ร่มวรีส์กว่า 300 ไร่มูลค่ากว่า 100 ล้านบาทส่งขายวัดโสธรฯ และวัดต่างๆ, ธุรกิจปล่อยเงินกู้แก่เจ้าอาวาสวัดต่างๆ, ธุรกิจสวนมะยงชิด, มีรีสอร์ตหรูหลายหลัง, ธุรกิจเพาะพันธุ์ไก่ชนขาย, ธุรกิจเพาะพันธุ์ปลากัดขาย, ธุรกิจเพาะพันธุ์นกเขาขาย
        และขณะนี้กำลังปรับพื้นที่ทำธุรกิจบ้านจัดสรรมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท, การมีผู้หญิงไปมาหาสู่เข้าๆ ออกๆ ยามวิกาลในกุฏิของท่านซึ่งมีความลึกลับซับซ้อนไม่มีใครเข้าออกได้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาเป็นใคร? ทั้งหมดนี้คือคำถามจากสังคมที่ต้องการคำตอบและสามารถค้นหาความจริงได้ที่บ้านสามเรือนบางปะอินอยุธยา”
       
        ข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ลงเมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ที่ผ่านมา และในขณะนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่พุทธศาสนิกชนต่างให้ความสนใจ รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสื่อมในวงการผ้าเหลือง
       
        ทั้งนี้ ภายในเฟซบุ๊กแฟนเพจเดียวกันนั้น ได้มีการเฉลยเอาไว้ว่าพระผู้นี้คือ “พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร)” เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร, กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 12 พร้อมกับพาดพิงถึงสีกาอีกคนหนึ่งโดยระบุว่า เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้ไปมาหาสู่ เข้าๆ ออกๆ ยามวิกาลในกุฏิของพระพรหมสุธี ซึ่งมีความลึกลับซับซ้อนไม่มีใครเข้าออกได้ ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
       
        ทั้งยังปรากฏภาพอีกหลายสิบภาพ อาทิ ภาพที่ดินที่กำลังจะสร้างบ้านจัดสรรพันล้าน, ภาพฟาร์มเลี้ยงไก่ชน, ภาพสวนกล้วยไม้ร่มวลีส์ และภาพรถหรูหลากยี่ห้อ อย่างไรก็ตาม ตั้งข้อสังเกตว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจดังกล่าวเพิ่งเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมา จึงคาดว่าน่าจะมีการเตรียมการออกมาแฉพระรูปนี้โดยเฉพาะ
       
        นอกจากนั้น ยังมีกระแสกล่าวว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจนี้ถูกแฉโดย “พระพรหมสิทธิ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กรุงเทพฯ และเจ้าคณะภาค 10 หลังจากถูก “พระพรหมสุธี” ปลดจากจากหน้าที่การงานในวัดสระเกศ รวมถึงแจ้งความข้อหายักยอกทรัพย์สินด้วย จึงทำให้ต้องออกมาโจมตีกลับด้วยการแฉผ่านทางโลกโซเชียล รวมไปถึงเอกสารแจกแจงให้อัปเปหิพระพรหมสุธี ความยาวกว่า 19 หน้า ระบุถึงเหตุการณ์ยักยอกเงินวัด, การแจ้งความจับ และอีกหลายเหตุการณ์ที่แสดงถึงความขุ่นข้องหมองใจของพระทั้งสองรูป (อ่านต่อฉบับเต็มคลิกที่นี่)
       
       “พุทธพาณิชย์” ความโลภบังตา
       
        จากกรณีดังกล่าวทำให้ต้องมานั่งฉุกคิดว่า การที่พระสงฆ์สองรูปในวัดดังต่างแฉกันไปมาในเรื่องของเงินๆ ทองๆ เป็นเพราะความโลภและหลงใหลในระบอบ “พุทธพาณิชย์” ที่สร้างรายได้มหาศาลอาจเป็นชนวนเหตุให้เปิดศึกกันกลางวัด
       
        ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันคนไทยทำบุญแบบมักง่าย แลกบุญด้วยเงินตราจ่ายแล้วจบ ไม่เน้นการฟังธรรม ไม่สนการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สาเหตุเหล่านี้จึงทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ “พุทธพาณิชย์” พุทธัง-ธัมมัง-สังฆัง เอาตังค์ใส่ตู้ ดังนั้น ทุกวันนี้จะเข้าไปทำบุญวัดไหนจึงต้องเห็นตู้ให้หยอดบริจาคเงินควบคู่กับองค์พระปฏิมาอยู่ร่ำไป
       
        รวมไปถึงวัดที่มีชื่อเสียงไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็คิดเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด ค่าดอกไม้ ธูป เทียน 20 บาท, ค่าวางรองเท้า 20 บาท, ค่าใบเซียมซี 20 บาท จนคนเข้าวัดเห็นแล้วแขยงไปตามกันๆ ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า คนไทยทำบุญเฉลี่ย 250 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน ทำให้เห็นได้ว่าตลาดการทำบุญนั้นมีมูลค่าถึง 50,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีทั้งบริจาคเข้าวัดและบริจาคเพื่อการกุศลอื่นๆ ด้วย และคิดรวมถึงการบริจาคเป็นสิ่งของ
       
        “ผมคิดว่าคนไทยทำบุญเข้าวัดก็ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่น 5 พันล้านบาทต่อปี โดยในวันพระใหญ่แต่ละวันผมคิดว่าน่าจะมีเงินไหลเวียนไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งการที่เงินไหลเวียนระดับนี้ เรากำลังพูดถึงธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาพุทธเป็นหลัก
        แต่ถึงแม้เงินจะไหลเวียนสูงถึง 35 พันล้านบาท แต่จริงๆ กระจุกอยู่ในวัดใหญ่มากกว่าวัดเล็กๆ เราจึงเห็นวัดบางวัดต้องปิดตัวไป หรือต้องอยู่กันแบบสภาพทรุดโทรม บางวัดศาลามูลค่า 50-60 ล้านบาทได้ แต่ว่าบางวัดแค่ศาลายังไม่มีเลย” เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าว
       
        อีกหนึ่งแนวความคิดในการทำบุญที่เราได้ยินได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ในขณะนี้ “บริจาคมาก ได้บุญกลับมามาก บริจาคน้อย ได้เงินกลับมาน้อย” ก็เป็นสิ่งพึงอันตรายของพุทธศาสนิกชนไทย เพราะมันคือความเชื่อแบบผิดๆ ดังที่ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ผู้สอนวิชาศาสนาในสังคมปัจจุบัน ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบุว่า ตอนนี้ แม้กระทั่งการทำบุญเราก็คิดกันแบบทุนนิยม
       
        “คนสมัยนี้ บริจาคมากเพื่อหวังจะได้อะไรกลับ คิดว่าทำบุญมากต้องได้บุญกลับไปมาก ทำร้อยล้านต้องได้ตอบแทนร้อยล้าน เป็นวิธีคิดแบบทุนนิยมมาก หยิบเอาเรื่องกำไรสูงสุดมาเป็นตัวชี้นำให้คนทำบุญหรือไม่ทำบุญ ซึ่งมันผิด มันไม่ใช่บุญในพระพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้ว ผมเข้าใจนะว่าวัดทุกวัดมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน แต่ปัจจุบันนี้เราผูกโยงเรื่องการเข้าวัดทำบุญไว้กับเรื่องกำไรขาดทุนมากเกินไป มันกลายเป็นวงจร พระหรือวัดก็รู้ว่าคนต้องการอย่างนี้ เขาก็เลยทำขึ้นมา และกลายเป็นพิธีกรรมที่เอื้อกันพอดี ถ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ผล ผมว่าต้องแก้ทั้งระบบ”
       
       แก้ปัญหา สอบรายได้วัด
       
        อย่างที่รู้ๆ กันว่า เงินที่เข้าวัดส่วนใหญ่แทบจะไม่เหลือหลักฐานอะไรให้ตรวจสอบ และก็คงจะไม่มีใครกล้าไปตรวจสอบด้วยเช่นกัน และโดยมากก็รู้เห็นเป็นใจทำเป็นขบวนการทั้งวัดไล่ตั้งแต่เจ้าอาวาส พระลูกวัด ไปจนถึงคณะกรรมการวัด เรียกได้ว่าแบ่งกันรวยรับเละ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นมานานแล้ว ดังนั้น ทางออกลำดับแรกๆ คือการจัดระเบียบการตรวจสอบรายได้ที่เข้ามาในวัด เพื่อความโปร่งใส
       
        “ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะกฎหมายของเราหรือระเบียบของพระสงฆ์ที่ให้ครอบครองทรัพย์สินมันยังไม่รัดกุม ระบบการใช้จ่ายของวัดมันไปตกอยู่แต่ในมือของเจ้าอาวาส หรือพระรูปใดรูปหนึ่ง มิตรสหายของผมเองก็นำเสนอว่าควรมีระเบียบออกมาให้วัดเสียภาษี เพราะการเสียภาษีหมายถึงพระต้องแสดงทรัพย์สิน หรือมีระเบียบเกี่ยวกับการครอบครองดูแลทรัพย์สิน ซึ่งถ้าเราดูตามเจตนารมณ์พระวินัยเนี่ย ไม่ได้ต้องการให้พระสงฆ์มีทรัพย์สินเลยนะครับ มีแค่เพียงจำเป็นที่จะพอยังชีพ แต่ทีหลังเราย่อหย่อนในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย และจริงๆ วัดควรจะเป็นของชุมชน ชาวบ้านควรได้ช่วยตรวจสอบ วัดไม่ใช่สมบัติของพระเพียงอย่างเดียว
       
        อีกอย่างอย่าลืมว่าคนให้เงินพระคือฆราวาสและก็ให้อย่างเต็มใจด้วย มันจึงอาจนำไปสู่การเกิดปัญหาบางอย่างหรือเปล่า เพราะสุดท้ายเงินมันไปกองกับพระสงฆ์บางรูป ในขณะนี้ของที่เป็นส่วนกลางของวัดเราแทบจะตรวจสอบไม่ได้เลยว่ามันมีมากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับนโยบายเรื่องของการจัดการทรัพย์สินของวัด ถ้าจะมองว่าพระรูปไหนโกงไม่โกง อันนี้มันเป็นเรื่องระดับบุคคลมากกว่า” อ.คมกฤช ระบุ
       
        นอกจากนั้น อาจารย์คนเดิมยังเสริมด้วยว่า อยากให้คนไทยปรับทัศนคติในเรื่องของการทำบุญ ให้ทำบุญเพื่อส่วนรวมจะได้บุญมากกว่าตามพระไตรปิฎก อย่างเช่น การถวายสังฆทาน การถวายหลอดไฟ ดีกว่าการนำสิ่งของหรือปัจจัยไปปรนเปรอพระสงฆ์เพียงบางรูป
       
        สุดท้าย คงต้องยอมรับว่า “วงการผ้าเหลือง” ทุกวันนี้ถูกย่ำยีจากคนภายในเอง และถ้าหากไม่มีใครนำความเสื่อมออกมาเปิดโปง เราก็ยังต้องเคารพกราบไหว้โจรในคราบพระอยู่ร่ำไป ถึงกระนั้น พระปฏิบัติดีคงต้องมีอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าทำบุญด้วยวิธีไหนถึงจะสบายใจ ไม่ขุ่นข้องสงสัยให้เสียบุญเปล่าๆ
       
        ส่วนกรณีของพระฉาวรูปนี้ คงต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าข่าวโคมลอยพร้อมหลักฐานจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และหากเป็นการใช้เงินบุญจากประชาชนมาโปรยทางให้ตนเองร่ำรวยจริง เชื่อว่าสักวันหนึ่งกรรมจะตามสนองเอง!!
       
เรื่องโดย ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live
ASTVผู้จัดการรายวัน    26 สิงหาคม 2557

42
ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       คนไทยในยุคนี้เป็นโรคมะเร็งกันมากขึ้น สังเกตดูว่าในช่วงหลังๆนี้เวลาไปงานศพเราจะพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตของคนส่วนใหญ่ในวันนี้คือถ้าไม่เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดและหัวใจ ก็เป็นโรคมะเร็ง
       
        ความทุกข์ของผู้ป่วยมะเร็งนั้นนอกจากจะมีความทุกข์กายและทุกข์ใจแล้ว ญาติสนิทและผู้ใกล้ชิดอาจมีความเครียดเสียยิ่งกว่าว่าจะหาหนทางรักษาอย่างไรดีจึงจะดีที่สุด และคนจำนวนไม่น้อยก็มีความวิตกกังวลถึงวิธีการรักษาโดยการใช้คีโมบำบัดและการฉายแสงนั้น ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าผู้ป่วยนั้นจะหายได้จากโรคร้ายหรือไม่
       
        ครั้นจะเข้าหาแนวทางธรรมชาติบำบัดก็ดูจะมีความเครียดไปในอีกทางหนึ่งว่า การใช้ธรรมชาติบำบัดเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งนั้นดูจะมีความหลากหลายจนไม่รู้ว่าจะเชื่อสูตรไหนดี และข้อสำคัญมีสูตรห้ามกินและให้กินอาหารที่ขัดแย้งกันเองเสียอีก ความทุกข์นี้บางครั้งไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดีจนถึงขั้นมีความเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
       
        ถึงวันนี้ด้วยวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าการป่วยเป็นโรคมะเร็งนั้นจะสามารถตรวจสอบด้วยการกลายพันธุ์หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในระดับรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาหาร อาการ น้ำดื่ม ความเครียด มลพิษ ฯลฯ
       
        ผมเคยมีความมุ่งมั่นว่าจะรวบรวมงานวิจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกเกี่ยวกับมะเร็งที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ ซึ่งผมตัดสินใจที่จะทยอยตีพิมพ์ลงคราวนี้บางส่วนไปก่อนเพราะไม่รู้ว่าหนังสือ “ASTV-ผู้จัดการ สุดสัปดาห์”จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงต้องรีบเผยแพร่เสียก่อนที่ท่านผู้อ่านจะพลาดโอกาส
       
       ใครก็ตามเมื่อรู้ข่าวว่าตัวเองหรือคนที่เรารักเป็นมะเร็ง จะต้องตระหนักว่า “หลักคิด”การรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบัน กับแนวทางแพทย์ทางเลือกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และหลายอย่างขัดแย้งกันเอง ถ้าตัดสินใจจะผสมผสานใช้ควบคู่กันไป สุดท้ายแล้วจะสับสนและเครียดกับคำขู่ของทั้งสองทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารว่าอะไรควรกิน และอะไรไม่ควรกิน
       
        เพราะการรักษาแผนปัจจุบันมีข้อเด่นอยู่มากว่าแม้จะไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุแต่หากรักษาสำเร็จก็จะได้ผลอย่างรวดเร็วและหยุดมะเร็งได้ทัน แต่ก็มีข้อเสียคือการรักษาวิธีนี้ได้ทำลายเซลล์ดีไปด้วยจึงอาจทำให้ร่างกายทรุดโทรมทรมานและอ่อนแอลง จำเป็นต้องให้อาหารที่มีโภชนาการครบถ้วนในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นก็ไม่มีหลักประกันว่าจะหายเสมอไปและการรักษาในแนวทางนี้ก็ยังมีโอกาสที่มะเร็งจะลุกลามจนเสียชีวิตได้ด้วย
       
       ในขณะที่การรักษาในแนวทางธรรมชาติบำบัดแม้จะไม่ทุกข์ทรมานในการรักษา แต่จะเน้นรักษาที่การปรับพฤติกรรมโดยเฉพาะอาหารที่เป็นต้นเหตุแต่นอกจากจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยังก็มีข้อเสียว่าอาจไม่ทันการลุกลามของมะเร็งที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน
       
        ดังนั้นสำหรับผมแล้วจึงเห็นว่าการรับมือกับโรคมะเร็งที่ดีที่สุดคือการใช้แนวทางธรรมชาติบำบัดเพื่อ “การป้องกัน” จึงสำคัญที่สุด
       
        แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาอย่างยิ่งยวดคือ เรามีเวลาเหลือเท่าไหร่ ถ้ามีเวลาเหลือมากพอ ก็น่าจะเลือกแนวทางธรรมชาติบำบัดให้เต็มที่เสียก่อนแล้วดูสัญญาณว่าดีขึ้นหรือแย่ลง อาจเป็นดัชนีชี้วัดให้ตัดสินใจชั่งน้ำหนักอีกครั้งหนึ่งว่าควรจะไปแนวทางใด
       
       ในขณะเดียวกันหากเกิดโรคนี้แล้วจะต้องตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางแผนปัจจุบันด้วยการฉายแสงหรือคีโมได้หรือไม่ หรือจะใช้แนวทางธรรมชาติบำบัดดี ก็ควรจะต้องตรวจเลือดเพื่อถอดรหัสพันธุกรรมเสียก่อน เพราะการถอดรหัสพันธุกรรมเสียก่อนที่จะตัดสินใจนั้นจะทำให้รู้ก่อนว่าการคีโมและการฉายแสงนั้นจะได้ผลจริงหรือไม่ ถ้ารู้ว่าได้ผลก็เดินหน้าไปแนวทางแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อไม่ให้เสียโอกาส
       
       แต่ในขณะเดียวกันหากรู้ล่วงหน้าว่าการคีโมและฉายแสงจะไม่ได้ผลก็หันไปเลือกแนวทางธรรมชาติบำบัดได้ทันที หรือแม้แต่หากรู้ว่ามีงบประมาณอันจำกัดไม่สามารถที่จะรองรับในแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ก็เดินสู่ธรรมชาติบำบัดได้โดยไม่ต้องลังเล
       
       ท่านที่สนใจที่จะตรวจเลือดเพื่อถอดรหัสพันธุกรรมสามารถรับการตรวจได้ที่ Man Nature Lab Center ที่อาคารบี บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพ 10200 เปิดทำการวันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ สนใจติดต่อรายละเอียดได้ที่ 096-065-3684 และ 096-065-3685
       
       และขอย้ำว่าไม่ว่าจะเลือกหนทางใด ก็ขอให้เชื่อมั่นและศรัทธาว่าดีแล้ว เพราะพลังจิตนี่แหละจะเป็นส่วนสำคัญการสังเคราะห์ระบบฮอร์โมนในร่างกายที่จะทำให้เราอ่อนแอลงหรือเข้มแข็งขึ้นได้ด้วย และข้อมูลต่อไปนี้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เท่าที่ได้รวบรวมมาดังต่อไปนี้
       
       1. รับประทานผักให้มากลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
       ดร.อ๊อตโต้ วอร์เบิร์ก นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ได้พบว่ามะเร็งนั้นสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะความเป็นกรดและไม่มีออกซิเจน ซึ่งอาหารที่เป็นกรดได้แก่ โปรตีน เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้ง น้ำตาล ซึ่งควรบริโภครวมกันไม่เกิน 30% ในขณะที่อาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างส่วนใหญ่อยู่ในรูปของผักและผลไม้รสเปรี้ยวควรบริโภคให้ได้ถึง 70% หากยังบริโภคในอัตราส่วนนี้ไม่ได้ควรดื่มน้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่างไม่ว่าจากพืชหรือน้ำด่างให้เพิ่มมากขึ้น
       
        อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารมังสวิรัติจะลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมาก โดยการสำรวจชาวมังสวิรัติ เซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 22,940 พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้ชายที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอายุยืนกว่าชายในแคลิฟอร์เนียทั่วไป 7.3 ปี ในขณะที่ผู้หญิงที่รับประทานอาหารมังสวิรัติมีอายุยืนกว่าผู้หญิงทั่วไปในแคลิฟอร์เนียประมาณ 4.4 ปี
       
       ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวพบว่าชาวเซเว่น เดย์ แอดเวนติสต์ มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่ำกว่าชาวแคลิฟอร์เนียเป็นอย่างมาก โดยผู้ชายที่รับประทานอาหารมังสวิรัติกลุ่มนี้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ชายทั่วไปที่อาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนียถึง 60% ส่วนผู้หญิงที่รับประทานอาหารมังสวิรัติเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้หญิงชาวแคลิฟอร์เนียทั่วไปถึง 76%
       
        โดยการสำรวจข้างต้นยังพบอีกว่าชาวมังสวิรัติเสียชีวิตโดยโรคมะเร็งปอดน้อยกว่าคนแคลิฟอร์เนียทั่วไป 21% เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้น้อยกว่า 62 % โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอัตราการเสียชีวิตโรคมะเร็งเต้านมน้อยกว่า 82% ดัชนีชี้วัดนี้แสดงให้เห็นว่าการับประทานอาหารมังสวิรัติลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้มากกว่า
       
        นอกจากนี้ยังพบการสำรวจของชาวเซเว่น เดย์ แอดเวนติส ได้รณรงค์พฤติกรรม 5 อย่างที่ใช้กันมานานกว่า 100 ปี คือ 1.ไม่สูบบุหรี่ 2. กินอาหารจากพืช 3. กินถั่วหลายๆครั้งต่อสัปดาห์ 4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 5. รักษาระดับน้ำหนักของร่างกายให้อยู่ระดับปกติ จะสามารถยืดอายุได้มากขึ้นกว่าปกติถึง 10 ปี
       
        การศึกษาดังกล่าวยังพบว่าการดื่มไวน์แดงแลไวน์ขาวมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของโรคมะเร็งลำไส้, ในขณะที่การบริโภคพืชตระกูลถั่วจะป้องกันโรคมะเร็งลำไส้, ผู้ชายที่บริโภคมะเขือเทศในปริมาณที่มากจะลดอัตราเสี่ยงของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 40% และการดื่มนมถั่วเหลืองมากว่า 1 ครั้งต่อวันอาจจะลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 70%
       
       2. กินน้อยกว่าเสี่ยงเป็นมะเร็งน้อยกว่า
       จากงานวิจัยพบว่าการจำกัดแคลอรี่ (Calorie Restriction) ในการโภชนาการจะทำให้เรามีอายุยืนขึ้นได้ ทั้งการทดสอบในหนูและลิง และอาจเป็นเหตุผลว่าคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติที่มีแคลอรี่ต่ำกว่านั้นจึงได้มีอายุยืนกว่า รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร นักชีวเคมีผู้เชี่ยวชาญการถอดรหัสพันธุกรรม จาก Man Nature Lab Center ได้รายงานาการศึกษาชิ้นหนึ่งเป็นการศึกษาในหนูที่รหัสพันธุกรรมขาดโปรตีน p53 (ทำให้ไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้) เทียบกับหนูปกติ
       
       เมื่อให้หนูกินอาหารปกติ อายุเฉลี่ยของหนูที่รหัสพันธุกรรมขาดโปรตีน p53 เป็น 104 วัน ในขณะที่หนูที่ปกติอายุยืนกว่าคือ 470 วัน แต่เมื่อหนูทั้ง 2 กลุ่มกินอาหารที่จำกัดแคลอรีลง โดยให้ลดลงเหลือเพียง 60% ของจำนวนแคลอรีปกติ ปรากฏว่าอายุขัยยืนยาวขึ้น โดยหนูที่ขาดโปรตีนอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็น 169 วัน (เพิ่มขึ้น 62%) ในขณะที่หนูที่ปกติอายุยืนขึ้นเป็น 648 วัน (เพิ่มขึ้น 38%)
       
       3. บริโภคอาหารที่ช่วยกระตุ้นในการกำจัดมะเร็ง
       การบริโภคพืชผักและผลไม้สามารถป้องกันมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักบล็อกโคลี่ กะหล่ำปลี ขมิ้นชัน และแหล่งอาหารที่มีบิวไทยเรต เช่น ถั่วเขียว และผลไม้ที่ส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้จากงานวิจัยวัดค่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่สุดในโลกโดยการวัดค่าความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระออกซิเจน (ORAC) พบว่ากลุ่มเครื่องเทศมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในโลก สูงกว่าผักและผลไม้ทุกชนิดในโลก ที่พบในไทยมากได้แก่ กานพลู ขมิ้นชัน อบเชย ฯลฯ
       
       4. หยุดหวานทุกชนิด
       น้ำตาลกลายเป็นปัญหาหลักของโรคมะเร็ง เพราะมะเร็งจะใช้การย่อยสลายกลูโคสในการเจริญเติบโตของมะเร็ง อันตรายที่สุดคือน้ำตาลทรายขาว ข้าวขาว ที่จะดูดซึมเข้าไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งให้เจริญเติบโตได้ง่ายที่สุด แม้แต่น้ำตาลจากผลไม้หวานก็มีการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ลอส แองเจิลลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าสามารถทำให้เซลล์มะเร็งโตได้เช่นกัน
       
       5. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทำให้มะเร็งโตได้
       การศึกษาเชิงเปรียบเทียบระดับนานาชาติที่ชื่อว่า China Study โดย ดร.ที คอลลิน แคมเบลล์ ได้รายงานว่าผลการทดสอบให้หนูที่ได้รับสารก่อมะเร็ง พบว่าการให้โปรตีนจากสัตว์โดยนมวัวนั้นเซลล์มะเร็งเพิ่มตามสัดส่วนปริมาณนมวัว 20% และเซลล์มะเร็งจะลดขนาดลงเมื่อให้ปริมาณนมวัวที่ลดลง ในขณะที่หนูที่ได้รับโปรตีนจากนมวัวในระดับต่ำเพียงแค่ 5% ไม่พบการเจริญเติบโตของกลุ่มมะเร็งเลย ในขณะเดียวกันพบว่าโปรตีนจากพืชก็ไม่ได้ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตเช่นกันไม่ว่าจะให้มากในปริมาณที่เท่ากับนมวัวก็ตาม
       
       6. หยุดไขมันไม่อิ่มตัว
       ยกเว้นโอเมก้า 3 หรือกรดไลโนเลนิคซึ่งมีผลทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลดลงแล้ว ได้มีงานวิจัย พ.ศ. 2527 ซึ่งตีพิมพ์วารสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โดย Reddy และ Maeura ได้ทำการทดลองในหนูโดยฉีดสารก่อมะเร็งลำไส้ แล้วเลี้ยงด้วยน้ำมันหลายชนิดแล้วพบว่าน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวมากที่สุดกลับเพิ่มอัตราการเกิดเนื้องอกมากที่สุด (ข้าวโพดและดอกคำฝอย) ไขมันที่ไม่อิ่มตัวน้อยหรือตำแหน่งเดียวคือน้ำมันมะกอกพบเนื้องอกเจริญเติบโตเล็กน้อย ในขณะที่น้ำมันมะพร้าวไม่พบการเจริญเติบโตของเนื้องอกเลย
       
        ส่วนไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นจากไขมันไม่อิ่มตัวทั้งจากการเติมไฮโดรเจนก็ดี หรือจากการโดนความร้อนก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งทั้งสิ้น
       
        นอกจากนี้แล้วการศึกษาโดย Cohen และคณะหลายชิ้นซึ่งตีพิมพ์ในวารสารสถาบันมะเร็งแห่งชาติยังได้รายงานถึง 4 ชิ้นระหว่างปี พ.ศ. 2527- พ.ศ.2530 ว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมชะงักลง
       
        น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีกรดลอริก เมื่อย่อยแล้วได้สารชื่อ โมโนลอริน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อก่อโรครวมถึงแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งบางชนิด เช่น Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งเป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก, ไวรัส Epstein Barr Virus ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของมะเร็งโพรงหลังจมูกและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง, ไวรัส Herpes Simplex Virus Type 2 ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, ไว้รัสตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในตับ, แบคทีเรียชนิด Helicobacter Pyroli ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, เชื้อรา Aspergillus flava ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ ฯลฯ
       
       7. จากสถิติคนไทยพบว่าผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงมาจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับที่มีการระบาดในภาคอีสาน หมายความว่าควรหยุดรับประทานปลาน้ำจืดดิบ และปรุงสุกแทนเท่านั้น
       
       8. เมื่อปี พ.ศ. 2556 คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ตีพิมพ์รายงานชิ้นสำคัญในวารสารทางการแพทย์ต่างประเทศระบุว่าการนวดไทยแบบเบาๆร่วมกับการใช้น้ำมันหอมระเหยนั้นสามารถเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่ได้รับคีโมให้ฟื้นตัวได้ จึงต่างจากความเชื่อเดิมว่าห้ามผู้ป่วยมะเร็งนวดไทยเพราะจะทำให้มะเร็งลุกลาม
       
       9. ล้างสารพิษสิ่งตกค้างในตับลำไส้ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งซินซินเนติ มลรัฐโอไฮโอ ประเทศและสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2544 พบว่าสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลงและสารพิษตกค้างจากหม้อแปลงไฟฟ้าที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งหลายชนิดละลายอยู่ในรูปของไขมันสามารถออกได้เส้นทางหลักคือ “น้ำดี” ในขณะที่ การวิจัยเรื่องการขับโลหะหนักแคดเมียมในหนู (ซึ่งแคดเมียมเป็นโลหะหนักชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง)ตีพิมพ์เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2521 ตีพิมพ์ในวารสาร Environ Health Perspect พบว่าเส้นทางในการขับแคดเมียมหลักคือลำไส้และน้ำดี ดังนั้นหลักสูตรการล้างพิษตับที่ล้างทั้งลำไส้และขับน้ำดีออกนั้นจึงเท่ากับมีโอกาสที่จะขับพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งได้หลายชนิดที่ละลายอยู่ในรูปของไขมัน
       
       10. พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด เพราะความเครียดทำให้ร่างกายมีความต้องการน้ำตาลไปเลี้ยงสมองมากขึ้น เมื่อน้ำตาลมีมากในกระแสเลือดก็จะเป็นอาหารชั้นดีในการทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้นได้เช่นกัน

 ASTVผู้จัดการรายวัน    1 สิงหาคม 2557

43
สังคมไทยมีการปฏิรูปหลายครั้งซึ่งมักจะจบลงด้วยความล้มเหลว นอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาเดิมที่สะสมมาอย่างยาวนานได้แล้ว แนวทางการปฏิรูปเองกลับสร้างปัญหาใหม่ตามมาอีกหลายประการ ดังนั้นภายในเวลาไม่นานหลังการปฏิรูปสถานการณ์มีแนวโน้มทวีความเลวร้ายยิ่งขึ้น และนำไปสู่วิกฤติการณ์จนต้องมีการปฏิรูปใหม่ และก็จบลงด้วยความล้มเหลวอีกเช่นเดิม
       
        การปฏิรูปการเมืองซึ่งมีการผลักดันกันครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ได้แนวทางที่ดูดีสดสวย มีการประดิษฐ์นโยบาย กฎหมาย ระเบียบ มาตรการ กลไกและองค์กรอิสระนานาชนิดเพื่อขับเคลื่อน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับเป้าประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ สิ่งที่ปรากฏในเชิงรูปธรรมอันเป็นดัชนีชี้วัดความล้มเหลวของการปฏิรูปก็คือ การทุจริตประพฤติมิชอบของนักการเมือง ข้าราชการ และนายทุนทวีความเข้มข้นมากขึ้นและขยายตัวราวกับโรคระบาดร้ายแรง องค์กรและสถาบันทางการเมืองทำหน้าที่เบี่ยงเบนจากเป้าหมายที่สังคมคาดหวัง แทนที่จะมุ่งมั่นในพันธกิจ พัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อประโยชน์ของสังคม กลับทำหน้าที่เพื่อรับใช้ตนเอง ขยายเครือข่ายอำนาจ สร้างอาณาจักร และการครอบงำสังคม ในที่สุดก็จบลงด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรง การชุมนุมประท้วง และการรัฐประหาร
       
        การปฏิรูปการศึกษาก็มีอาการป่วยหนักไม่แพ้การปฏิรูปการเมือง สังคมคาดหวังจะสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพ ให้ผู้เรียนมีความความสามารถทางปัญญาและมีคุณธรรม มีการออกพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ กำหนดมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา นโยบาย และสร้างองค์กรต่างๆเพื่อเข้าไปแทรกแซงสถาบันการศึกษา เช่น สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และระบบการประเมินผลงานของครู เรียกได้ว่าระบบการศึกษาไทยรกรุงรังไปด้วยระเบียบที่ไร้ความหมาย
       
        สถาบันการศึกษาถูกประเมินด้วยตัวชี้วัดมากมายซึ่งไม่มีส่วนในการสร้างคุณภาพการศึกษาแต่อย่างใด สำนักงานพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนก็เต็มไปด้วยการบริหารและผู้บริหารที่มีเน้นการสร้างภาพ สร้างอำนาจ และสร้างอาณาจักรของตนเอง ส่วนบรรดาครูผู้สอนก็หมกมุ่นอยู่กับการเอาตัวรอดและการไต่เต้าแสวงความก้าวหน้าด้วยกลอุบายนานาชนิดที่สามารถคิดออกมาได้ ขณะที่คุณธรรมและจรรยาบรรณกลับถูกเก็บและปิดอย่างแน่นสนิท และรอที่จะนำออกมาฟาดฟันผู้อื่นที่ตนเองไม่ชอบเท่านั้น
       
        สิบกว่าปีที่ผ่านมาการศึกษาไทยจึงล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน มีนักเรียนจำนวนมากมายมหาศาลที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วอ่านหนังสือไม่แตกและคิดเลขง่ายๆไม่เป็น ภูมิปัญญาเฉลี่ยของประเทศตกต่ำลง คุณธรรมพื้นฐานถูกละเลย พฤติกรรมมีแนวโน้มหยาบช้า ไร้วัฒนธรรมและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
       
        หากถามว่านาทีนี้เราสามารถคาดหวังกับการปฏิรูปประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งได้มากน้อยเพียงใด จากประสบการณ์ในอดีต ผมคิดว่าเราก็คงต้องเตรียมใจเผื่อเอาไว้ก่อนเพราะหากคาดหวังมาก ความผิดหวังก็คงตามมามากเช่นเดียวกัน แต่หากจะไม่ให้คาดหวังเสียบ้างเลยก็ดูกระไรอยู่ ดังนั้นการทบทวนบทเรียนก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
       
        เราคงต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า “นิสัยคนเปลี่ยนยากกว่าระเบียบและกฎหมาย” จากการสังเกตของผม การใช้ระเบียบและกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยคนนั้น สำหรับสังคมไทยแล้วก็ดูเหมือนมีประสิทธิผลไม่มากนัก เพราะว่าทั้งคนที่เป็นผู้บังคับใช้ระเบียบและคนที่ถูกระเบียบบังคับใช้ ต่างก็มีนิสัยเหมือนกันประการหนึ่งคือละเลยระเบียบ เพิกเฉยเมื่อคนอื่นละเลยระเบียบ ขาดความคงเส้นคงวาในการใช้ระเบียบ และมีการนำระเบียบที่ใช้บังคับผู้อื่นมาเป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง
       
        ตัวอย่างมีให้เห็นทั่วไปตั้งแต่ระเบียบหรือกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้รถใช้ถนน จนไปถึงกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เรามีกฎหมายที่ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย แต่คนไทยทั่วไปคงไม่ชินกับการสวมหมวกดังกล่าว คนจำนวนมากจึงไม่สวม ผู้บังคับใช้กฎหมายก็ละเลยไม่ใส่ใจหรือไม่ก็หาเรื่องใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นประโยชน์แก่ตนเอง
       
        เรามีกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายป้องกันการทุจริตที่มีบทลงโทษผู้กระทำผิดอย่างรุนแรง แต่การสมยอมในการทุจริตซื้อขายเสียงหรือทุจริตในเรื่องอื่นๆก็เกิดขึ้นเป็นประจำ ภายใต้ข้ออ้างต่างนาๆนาที่แต่ละคนหยิบยกเอามาอ้างกัน ส่วนผู้บังคับใช้กฎระเบียบก็อาศัยระเบียบเหล่านั้นเป็นแหล่งสร้างประโยชน์แก่ตนเอง เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ
       
        ดังนั้นหากนิสัยละเลยระเบียบและนิสัยการใช้ระเบียบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนยังไม่ได้รับการแก้ไข หนทางแห่งการปฏิรูปก็ดูจะมืดมน
       
        แล้วจะแก้ไขนิสัยเหล่านี้ได้อย่างไร เราก็คงจะต้องศึกษาบทเรียนของสังคมที่เขาประสบความสำเร็จดูว่าเขาทำอย่างไรกันบ้าง จุดเริ่มต้นสำคัญของความสำเร็จคือ ต้องมีกลุ่มผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลงกลุ่มหนึ่งที่กอปรไปด้วยจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมอย่างเข้มข้น มีเจตจำนงทางการเมืองอย่างเด็ดเดี่ยว มีสติปัญญามากพอที่จะตัดสินได้อย่างถูกต้องว่าแนวทางและการกระทำใดมีประโยชน์ต่อประเทศและคนส่วนใหญ่ และมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะเสียสละผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง รวมทั้งกล้าหาญพอที่จะจัดการกับบุคคลและระบบที่สร้างความไม่เป็นธรรม
       
        สาเหตุแห่งความล้มเหลวของการปฏิรูปสังคมไทยก็คือที่ผ่านมาเรายังไม่มีกลุ่มผู้นำประเทศที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เรามีแต่นักฉวยโอกาสทางการเมืองที่มุ่งแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและพวกพ้อง เรามีแต่กลุ่มผู้นำที่แสดงนิสัยเลวทราม พฤติกรรมที่ละโมบ เอาแต่ได้ และขี้ขลาดซึ่งเน้นเอาตัวรอดไปวันๆในเกมแห่งอำนาจ เมื่อสังคมไทยมีกลุ่มผู้นำที่มีนิสัยและพฤติกรรมเยี่ยงนี้แล้ว คนทั่วไปก็จะเลียนแบบและปฏิบัติตาม จนเกิดเป็นวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายสืบเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
       
        แต่หากกลุ่มผู้นำประเทศกลุ่มใหม่มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม และเจตจำนงอย่างแน่วแน่ในการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง ก็คงจะต้องกำหนดบรรทัดฐานในการปฏิบัติของกลุ่มตนให้ชัดเจนและประกาศให้สาธารณะทราบโดยทั่วกัน เริ่มจากการจัดระเบียบภายในหน่วยงานอันทรงอำนาจของตนเอง การจัดการกับกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากระเบียบอย่างเด็ดขาด ทั้งในเรื่องการทุจริต การแสวงหาประโยชน์จากผู้ใต้บังคับบัญชา การทำผิดกฎหมาย และการสร้างอิทธิพลเถื่อนในรูปแบบต่างๆ
       
        จากนั้นก็ต้องขยายบรรทัดฐานของการปฏิบัติที่ดีออกไปสู่องค์กรอื่นๆในสังคมทั้งหน่วยงานราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น บริษัทเอกชน สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา รวมไปถึงวงการบันเทิง และวงการกีฬาด้วย โดยเริ่มจากการเชิญกลุ่มผู้นำขององค์กรทางสังคมต่างๆมาพูดคุยเพื่อปรับทัศนคติ ร่วมสร้างเจตจำนงและพันธกิจแห่งการปฏิรูป และสร้างบรรทัดฐานในการปฏิบัติเพื่อเป็นตัวแบบที่ดีแก่คนในวงการนั้นๆ
       
        หากกลุ่มชนชั้นนำขององค์การและวงการต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงนิสัยและบรรทัดฐานการปฏิบัติ สิ่งที่ดีๆเหล่านี้ก็จะขยายตัวออกไป และก่อเกิดเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายแห่งการปฏิรูปประเทศ เมื่อนั้นหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปก็พอจะมีความหวังอยู่บ้าง
       
        แต่หากกลุ่มชนชั้นนำของประเทศและสังคมในวงการต่างๆยังไม่มีจิตสำนึก ไม่มีนิสัยและบรรทัดฐานแห่งการปฏิบัติที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการปฏิรูป การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ การออกกฎหมายใหม่ การสร้างกลไกใหม่ และการสร้างองค์กรใหม่ก็ดี จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายและไร้ประสิทธิผลในการปฏิรูปประเทศดังที่เคยเกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้
       
        สำหรับกลไกและองค์การต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลิตความคิดและบรรทัดฐานแห่งการปฏิบัติที่นำไปสู่การสร้างค่านิยม ความเชื่อ และบรรทัดฐานแห่งความล้มเหลวก็จำเป็นจะต้องยุบเลิกหรือไม่ก็ต้องปรับเปลี่ยนเสียใหม่ ดังที่ คสช. ได้ยกเลิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมไปแล้ว การใช้อำนาจในการยุบเลิกสภาฯดังกล่าวอาจทำได้ไม่ยากนักเพราะเกี่ยวข้องกับคนจำนวนไม่มาก อำนาจหน้าที่ก็น้อย และที่สำคัญคือผลประโยชน์ไม่มาก
       
        แต่การเปลี่ยนแปลงองค์การที่มีคนเกี่ยวข้องมากและมีผลประโยชน์สูง อย่างเช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการสูงสุด บริษัทปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และเรื่องอื่นๆเช่น ระบบการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นต้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากไม่มีเจตจำนงที่เด็ดเดี่ยว หรือขาดสติปัญญาในการใช้ศิลปะและศาสตร์เพื่อแสวงหาทางออกอย่างเป็นระบบ หรือไร้ความกล้าหาญในการจัดการกลุ่มที่เสียประโยชน์ และขาดความเสียสละประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง
       
        กล่าวโดยสรุปการปฏิรูปประเทศจะหลุดพ้นจากความล้มเหลวได้หากกลุ่มผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีคุณลักษณะที่สำคัญห้าประการครบครัน นั่นคือ การมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม การมีเจตจำนงที่เด็ดเดี่ยว การมีสติปัญญาที่แหลมคม มีความกล้าหาญ และมีความเสียสละ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปหนทางแห่งการปฏิรูปก็ดูจะมืดมัวลงไป และมหันตภัยครั้งใหม่ของประเทศก็จะก่อตัวขึ้นมาอีกในอนาคต

ASTVผู้จัดการรายวัน    1 สิงหาคม 2557

44
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ลด ละ โละ รื้อ ทิ้ง กันกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ สำหรับปฏิบัติการเที่ยวล่าสุด ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เห็นชอบให้ยกเลิกการดำเนินงานของกองทุนตามนโยบายของรัฐบาล ในปีงบประมาณ 2557 วงเงินรวม 9,925 ล้านบาท โดยกองทุนส่วนใหญ่แทบจะเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาทั้งสิ้น
       
       โดยเฉพาะโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน (เอสเอ็มแอล) ที่เป็นดังโคตรมหานโยบายประชานิยมของเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่เคยถูกยกเลิกมาแล้วหนึ่งครึ่งสมัยรัฐบาลขิงแก่ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งครั้งนั้น พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอให้เปลี่ยนแปลงเป็นสำนักงานพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง หรือ "สพพ." แทนนั่นเอง
       
       โดย “สพพ.”ตอนนั้นมีจุดมุ่งหมายให้ประชาชนยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงควบคู่กับหลักคุณธรรมในการบริหารจัดการเพื่อมุ่งสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้านและชุมชนภายใต้กระบวนการแผนแม่บทชุมชน ในขณะที่กองทุนเอสเอ็มแอลถูกมองว่า มีแต่ความหละหลวม ไม่ได้ตอบโจทย์ประชาชนอย่างแท้จริง แต่มุ่งหมายที่จะทำยอดความนิยมให้กลายเป็นคะแนนเสียงในทางการเมืองของพรรคการเมืองเท่านั้นเป็นหลักการเปลี่ยนงบประมาณแผ่นดินเป็นคะแนนนิยมของตัวเอง
                     
             ดังนั้น จับสัญญาณการยุติบทบาทของกองทุนเอสเอ็มแอลหนนี้ ก็น่าจะมีเหตุผลเช่นเดียวกัน นั่นคือ ตัดเครื่องมือหาเสียงของพรรคการเมืองทิ้งซะ แล้วคอยดูกันต่อไปว่า หลังจากนี้ คสช. จะเนรมิตกองทุนในลักษณะเดียวกันกับ “สพพ.”ขึ้นมาอีกหรือไม่
       
       ไม่ต่างจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในหมู่บ้านและชุมชน และโครงการพัฒนาเมือง ที่ก็โดนผลพวงไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีที่จุติขึ้นในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็โดนย่อให้ไปอยู่ในกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องได้ เพราะกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจตัดสินใจต่อว่า สุดท้ายจะเก็บหรือทิ้งลงคลอง
       
       เรียกว่า นี่คือ การผ่าตัดกลไกประชานิยมของเครือข่ายระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่งทีเดียว !!
       
       ทว่า ก็หาได้ตัดเชื้อร้ายทิ้งเสียหมด แต่ คสช. ยังคงกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเอาไว้โด่ๆ โดยให้เหตุผลว่า ยังเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เนื่องจากผลการประเมินตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนมา 14 ปี พบว่า กองทุนกว่า 30-40 % มีศักยภาพและดำเนินการได้ในระดับดี ทั้งนี้ทั้งนั้น หากพลิกปูมดูกองทุนดังกล่าวนี้ ก็จะเห็นว่า เป็นกองทุนที่หนังเหนียวพอสมควร รัฐบาลไหนเข้ามาก็มักจะนำมาต่อยอดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลขิงแก่ หรือรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอง
       
       ปรากฎการณ์นี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงได้เป็นอย่างดีว่า กองทุนต่างๆ ที่ถูกยุบไป มีเหตุผลมากมายกว่าผลการดำเนินการที่ไม่ค่อยดี ฉะนั้น การยุบทิ้งครั้งนี้จึงมิอาจจะหลบข้อครหาหรือเสียงติฉินนินทาจากภายนอก
       
       อย่างกองทุนเอสเอ็มแอลเองที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีประชาชนชาวรากหญ้าถูกอกถูกใจไม่น้อยกับกองทุนนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนจำนวนไม่น้อยนำเงินจากกองทุนนี้ไปแก้ไขปัญหาในชุมชนของตนเองในรูปแบบคณะกรรมการหมู่บ้าน โดยเฉพาะเวลามีเหตุฉุกเฉินเงินก้อนนี้ถือว่า อยู่ใกล้ตัวที่สุดที่จะนำไปใช้จ่ายได้ อย่างภัยพิบัติต่างๆ น้ำท่วม ดินถล่ม พายุ นานาสารพัน แต่หากไร้ซึ่งกองทุนฯดังกล่าวไป ปัญหาที่จะตามมาคือ ความล่าช้าในการเข้าไปช่วยเหลือประชาชน เพราะหากต้องรองบจากภาครัฐโอกาสจะทันการณ์นั้นค่อนข้างยากเหลือเกิน
       
       ตามโครงสร้างและรูปแบบแล้ว ถือเป็นโครงการที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แถมยังมีระเบียบการบริหารกองทุนที่ชัดเจน อยู่ในสายตาชาวบ้านตลอด เสียแต่ว่า ที่ผ่านมามันมีกลิ่นเรื่องความไม่ชอบมาพากลเยอะแยะไปหน่อย จึงทำให้บางหมู่บ้านไม่สำเร็จตามวัตถุประสงค์
                     
           การยุบทิ้งครั้งนี้จึงเกิดคำถามเหมือนกันว่า รอยรั่วต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ คสช.จะหาสิ่งทดแทนหรือสิ่งใหม่เข้าไปอย่างไรให้ประชาชนไม่รู้สึกว่าขาด และรู้สึกว่าดีกว่าของเดิมที่เขาเคยใช้กัน หากนำของที่แย่กว่าไป นอกจากจะไม่ได้รับคำชมแล้ว ยังมิวายจะโดนเสียงก่นด่าระงมอีกคำรบ
       
       ยิ่งตอนนี้ยิ่งต้องระวังบรรดาลิ่วล้อระบอบทักษิณที่เริ่มจะก่อตัวหาเรื่องมาตอดเล็กตอดน้อย คสช. กันมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเอาจุดนี้ไปถล่มได้ ซึ่งหาก คสช.หาเหตุผลที่ดีอธิบายไม่ได้ แรงเชียร์หายแน่ โดยเฉพาะเริ่มมีการตั้งคำถามแล้วว่า
       
       การยกเลิกครั้งนี้เป็นการทำร้ายประชาชนมากกว่าที่จะคืนความสุขให้ประชาชนหรือไม่
       
       อีกอย่างก่อนจะยกเลิก คสช.ก็ไม่ได้เข้าไปไถ่ถามความต้องการของประชาชนว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาเหล่านั้นต้องการจะให้คงอยู่ ปรับเปลี่ยน หรือยุบทิ้งไปเลย รู้ตัวว่า ผลดำเนินการไม่ดี แต่ไม่ได้ดูผลสัมฤทธิ์ที่ผ่านมาว่า ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่าหรือไม่ ตรงนี้จึงต้องทำการบ้านเตรียมตัวดีๆ หากจับฉ่ายใส่นู่นใส่นี่เข้าไปแทนไม่ตรงใจ ถือว่า เสียของ
       
       กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีก็เหมือนกัน แม้จะน่ารังเกียจของคนที่อยู่ตรงข้ามระบอบทักษิณ หนำซ้ำ ยังถูกทำคลอดโดยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ต้องดูว่า การดำเนินงานที่ผ่านมา มีผลลัพธ์เป็นบวกหรือลบ หรือยังจับนู่นจับนี่ยัดไปให้ดีขึ้นได้หรือไม่
       
       โดยตัวโครงสร้างจะว่าเลวก็ไม่ได้เลวแบบสุดขั้ว จะดีก็ไม่ดีเด่อะไรแบบเลิศเลอ แต่ที่ผ่านมากองทุนดังกล่าวเองก็ทำให้ผู้หญิง เด็กผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ สามารถเข้าถึงเงินกองทุนนี้ได้ ดังนั้น จึงต้องตรองให้ถ้วนถี่ ถ้านำมาปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นได้ แล้วเป็นคุณกับตัวเองก็ทำไปเถอะไม่มีใครด่า
       
       เพราะสุดท้ายต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน มากกว่าความบาดหมาง และอคติ ส่วนตัว
       
       แน่นอนว่า นโยบายประชานิยมหลายอย่างเป็นการลงทุนที่หวังผลกำไรทางการเมืองของบรรดาพรรคการเมือง ทว่าหากมันอยู่ในมือของคนที่ไว้วางใจได้ ผลสัมฤทธิ์ของมันก็น่าจะทรงอานุภาพมิใช่หรือ เรื่องนี้เอาจริงๆ อยู่ที่ว่า ของสิ่งๆ นั้นมันอยู่ในมือของใคร
       
       ครั้งนี้คสช.ต้องชี้แจงที่มาที่ไปและเหตุผลต่อสังคมและประชาชนให้กระจ่างว่า เหตุใดจึงต้องโละ ต้องยุบออก ก่อนจะมีคนนำไปขยายให้เป็นไฟไหม้ฟาง และไม่ใช่เฉพาะกองทุนเหล่านี้ แต่หมายถึงโครงการประชานิยมต่างๆ ที่นักการเมืองเพาะเชื้อเอาไว้และเตรียมจะยกกระบิไปทิ้ง
                   
         นโยบายประชานิยมไม่ใช่นโยบายที่ดี เพราะเป็นการถลุงงบประมาณเข้าตัวพรรคการเมืองและนักการเมือง จึงสมควรจะโบกมือลา แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบหลังยกเลิกไปแล้วนั่นคือ สิ่งที่ถูกนำมาทดแทนดีไม่เท่า หรือแย่กว่าในบางเรื่อง
                     
         เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลที่จะเข้ามาต้องคิด เมื่อไม่เอา ก็ต้องมีของที่ดีไม่แพ้กัน!!!

ASTVผู้จัดการรายวัน    2 สิงหาคม 2557

45
ก.วิทย์คาดปี 2570 "พระราม 2- บางนา"จมน้ำ กทม.หวั่นชายทะเลบางขุนเทียนถูกกลืน สั่งสนน.คุยปริมณฑล-เร่งแก้ปัญหา

นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวประธานการประชุมร่วมกับ คณะทำงานร่วมโครงการวิจัย “เมืองชายฝั่งทะเลที่มีความเสี่ยง (Coastal Cities at Risk) หรือ การเสริมสร้างศักยภาพการปรับตัวเพื่อการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมหานครชายฝั่ง” ว่า โครงการวิจัยได้รับการช่วยเหลือจากประเทศแคนาดา เพื่อวิจัยถึงผลกระทบที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะเมืองที่มีอาณาเขตติดกับชายฝั่ง โดยในโลกมีเมืองที่ติดชายฝั่งอยู่หลายแห่ง ได้แก่ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย เป็นต้น ซึ่งในกรุงเทพฯ ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของหน้าดิน อาทิ สภาพดินอ่อน เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก และสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นทุกวัน

"ซึ่งกรุงเทพฯเกิดการทรุดตัวของดินโดยเฉลี่ย 2 เซนติเมตรต่อปี จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาวิจัยแนวคิดในการบูรณาการเพื่อลดความเสี่ยง หรือแก้ไขความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาด้านวิศวกรรมอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การวิจัยดังกล่าว มีแผนระยะเวลา 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559 และหากแล้วเสร็จ ก็จะนำมาเป็นแผนแม่บทในการที่จะบริหารเพื่อลดความเสี่ยงของเมืองได้ในอนาคต "นายจุมพล กล่าว

นายจุมพล กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการก่อสร้างถาวรแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน หรือทีกรอยด์ (T-Groin) ระยะความยาว 6,970 เมตร ไม่สามารถป้องกันได้ในระยะยาว และพื้นที่ชายฝั่งติดกับพื้นที่ปริมณฑล ทั้งสมุทรปราการ สมุทรสาคร ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักการระบายน้ำ (สนน.) ไปทำการศึกษาเพื่อร่วมกับจังหวัดพื้นที่ร่วมกันทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว อาทิการปลูกป่าชายเลน เป็นต้น

ด้าน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า โครงการวิจัย “เมืองชายฝั่งทะเลที่มีความเสี่ยง (Coastal Cities at Risk) หรือ การเสริมสร้างศักยภาพการปรับตัวเพื่อการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมหานครชายฝั่ง มีแผนงานรวม 5 ปี ซึ่งขณะนี้ผ่านมาแล้วครึ่งทาง โดยที่ผ่านมาเป็นการศึกษาเน้นทำข้อมูลที่เป็นปัจจุบันในหลายด้าน ประกอบด้วย 1.ด้านกายภาพ 2.ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ที่เกี่ยวกับด้านความเชื่อ และวิถีการใช้ชีวิต

ดร.อานนท์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าในปี 2570 ในระหว่างเดือน ธ.ค.-ม.ค. มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมสูงไม่ต่ำกว่า 1 เมตร โดยเฉพาะถนนพระราม 2 ถนนบางนา หากไม่มีการโครงการพัฒนาพื้นที่ เช่นการถมถนน ขณะเดียวกันยังคาดการณ์อีกว่า อีก 30 ปีข้างหน้า แนวคันกั้นน้ำของกทม. ซึ่งปัจจุบันมีความสูง 2.70 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง จะต้องก่อสร้างเพิ่มความสูงขึ้นเป็น 5 เมตร ถึงจะป้องกันน้ำที่จะทะลักเข้าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้ แต่ไม่ใช่ทางแก้ไข จึงจำเป็นต้องมาหาแนวทางเพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับน้ำได้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 5 สิงหาคม 2557

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 32