ผู้เขียน หัวข้อ: หมอใหม่เมินชนบทเซ็งแค่แพทย์ชั้น 2 ชี้ปรับแพง 1 ล้านฉุดไม่อยู่  (อ่าน 2687 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
เผยแพทย์รุ่นใหม่มีค่านิยมไม่ยอมตกเป็นแพทย์ชั้นสองด้วยการทำหน้าที่ในชนบท แห่เบี้ยวทุนผลิตแพทย์ เหตุอยากมีเงิน-มีชื่อเสียง- มีอนาคต ผอ.รพ.แม่สาย ชี้เงื่อนไขเพิ่มเงินค่าปรับ เพิ่มระยะเวลาชดใช้ทุนไม่ช่วยรักษาแพทย์ชนบทไว้ได้ แนะควรมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม
       
       นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงโครงการผลิตเเพทย์เพื่อชนบท (CPIRD) ว่า จากปัญหาที่พบในโครงการดังกล่าว คือ แพทย์มักลาออกก่อนใช้ทุนครบตามเวลาที่กำหนดส่งผลให้แพทย์ในชนบทขาดแคลน ดังนั้น คสช.จึงทำข้อเสนอแก่คณะกรรมการพัฒนากำลังคน ซึ่งมี นพ.มงค ณ สงขลา เป็นประธาน โดยขณะนี้ทราบว่า คณะกรรมการดังกล่าว ได้เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รับทราบแล้ว เนื่องจากกระทรวงเป็นเจ้าของโครงการ และจะได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบต่อไป โดยข้อเสนอที่ว่ามีประเด็นหลักๆ ได้แก่ 1.ขยายโครงการผลิตเเพทย์เพื่อชาวชนบทต่อห้าปี (2557-2561) โดยให้ขยายสัดส่วนจำนวนเเพทย์ของโครงการไว้ร้อยละห้าสิบของนักศึกษาเเพทย์ทั้งหมด 2.กำหนดเงื่อนไขการปฏิบัติงานชดใช้ทุน เพิ่มจากเดิม 3 ปี เป็น 6 ปี กรณีผิดสัญญาชดใช้ทุน กำหนดค่าปรับเพิ่มจาก 4 เเสนบาทเป็น 1 ล้านบาท
       
       “โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่เน้นการเปิดโอกาสให้ประชาชนในต่างจังหวัดมีการเข้ามาศึกษาด้านวิชาชีพแพทย์มากขึ้น เพื่อจะได้จบมาแล้วเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในชนบท โดยไม่ต้องแข่งขันกับแพทย์ในเมือง ดังนั้นควรที่จะมีการดำเนินการต่อไป แต่เพื่อป้องกันปัญหาการเบี้ยงจ่ายทุนก็ต้องเพิ่มเพดานการจ่ายค่าปรับ” นพ.อำพลกล่าว

       ด้านนพ.สุระ คุณคงคาพันธ์ ผู้อำนวยการ รพ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า ในส่วนของ รพ.แม่สาย นั้น มีแพทย์จำนวน 8 คน บริการผู้ป่วยทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ ในส่วนของผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 70-80 รายต่อวันต่อคน ขณะที่จำนวนผู้ป่วยนอกมีมารับบริการเฉลี่ยวันละ 500 รายและผู้ป่วยในมีจำนวนรายวัน 120 ราย มีเตียงมาตรฐานรองรับ 90 เตียง ส่วนที่เกินมาต้องจัดเตียงเสริมให้ โดยขณะนี้มีแพทย์ที่กำลังใช้ทุนจากโครงการผลิตแพทย์เพื่อชนบทประจำการ 1 คน ซึ่งแพทย์รายนี้ได้แจ้งแล้วว่า กำลังจะลาออกเพื่อไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง ทั้งๆที่ยังใช้ทุนไม่ครบกำหนด ขณะที่ภาพรวมของโรงพยาบาลนั้นมีแพทย์ใช้ทุนมาปฏิบัติภารกิจทุกปีๆ ละ 2-3 ราย ส่วนมากก็จะไม่ค่อยอยู่ใช้ทุนครบตามกำหนด เหตุผลเพราะแพทย์รุ่นใหม่มีค่านิยมที่ว่า หากไม่มีการเรียนต่อและจมอยู่กับหน้าที่แพทย์ชนบทก็จะหมายถึงการเป็นแพทย์ชั้นสอง ดังนั้น จึงยอมจ่ายเงินค่าปรับเพื่อเรียนต่อและจบออกมาเป็นแพทย์เฉพาะทาง และมักเข้าไปรับจ้างใน รพ.เอกชน เพราะงานสบาย รายได้ดี หรือกล่าวง่ายๆ คือ เน้นประโยชน์เชิงพาณิชย์มากขึ้น
       
       นพ.สุระ กล่าวด้วยว่า สำหรับข้อเสนอในการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้ทุนในหลายๆประเด็นนั้น คิด ว่า เรื่องระยะเวลาในการใช้ทุน 6 ปี เป็นเวลาที่เหมาะสมก็จริง ส่วนเพดานการจ่ายค่าปรับหากใช้ทุนไม่ครบตามเวลาที่กำหนดนั้นที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนเงินที่รับได้ แต่จากการที่คลุกคลีอยู่กับ รพ.ชุมชน มานาน คิดว่า เงื่อนไขดังกล่าวคงไม่สามารถยื้อแพทย์ไว้ในชนบทได้ หากไม่มีการเพิ่มค่าตอบแทน เนื่องจากแพทย์รุ่นใหม่นั้นฝังติดกับค่านิยมเรื่องรายได้และชื่อเสียงกันมาก ขณะเดียวกันการปลูกฝังจริยธรรมในนักศึกษาแพทย์เพื่อให้เน้นปฏิบัติหน้าที่อย่างแพทย์ชนบทด้วยหัวใจจริง ก็สำคัญ ดังนั้น จะยัดเยียดโอกาสเฉยๆ ไม่ได้ แต่จำเป็นต้องปรับปรุงระบบการศึกษาด้วย
       
       “ปัญหาแพทย์ลาออกก่อนทุนหมดและแพทย์สมองไหลไปสู่ระบบเอกชน นั้นมีมาให้เห็นจนชินตากับแพทย์ยุคปัจจุบัน คนชนบทเองก็ป่วยไม่ใช่น้อยประกอบกับโรงพยาบาลแม่สายรับรักษาชาวต่างชาติสูงถึง 30% ของผู้ป่วยทั้งหมด ภาระหน้าที่ของแพทย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นชัด บางครั้งเรื่องของความอยากมีอนาคตที่ดีก็เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ ยิ่งปัจจุบันสถานพยาบาลเอกชนมีสวัสดิการและค่าตอบแทนที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ภาระดูแลผู้ป่วยต่อแพทย์ 1 คนเฉลี่ยแค่ 5-10 ราย ต่อวันก็ย่อมเป็นแรงดึงดูดที่น่าสนใจ” นพ.สุระกล่าว


ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 กันยายน 2554

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
ความคิดเห็นที่ 9    
   ผู้บริหารกระทรวงน่าจะลงไปดูบ้างนะ ผอ. รพ ส่วนใหญ่ไม่เคยตรวจคนไข้ ประชุมอย่างเดียว เงินเดือนสูงมากๆๆ ทิ้งให้หมอจบใหม่ทำงานในร.พ คนเดียว รับผิดชอบทุกอย่างในร.พคนเดียว เวลามีปัญหากับคนไข้ก็ไม่เคยช่วยเหลือ หนีเอาตัวรอด เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้บริหารร.พ กับคนไข้นี่แหละที่ทำให้หมอจบใหม่ลาออกกันเยอะ ลงมาดูกันบ้างอย่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
จริง
...................................................   
ความคิดเห็นที่ 54    
   อ่านเจอในเว็บ Thaicininc.com อ่านแล้วโดนใจมาก
คิดว่า น่าจะแทนความในใจของหมออีกจำนวนมากมายในเมืองไทย
จึงถือวิสาสะ copy มาให้อ่านกันครับ....

วันนี้กลับมาจากประชุมที่ต่างจังหวัด เจอจดหมายในตู้ฉบับนี้
อ่านแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่าง
เลยฝากมาให้ชาว tcc ลองอ่านดูนะครับ..

จดหมายจากน้อง ผอ.รพ.ชุมชน ใน จังหวัด น. คร๊าบ

**********************************************
สิ่งมีชีวิตในดินแดนที่ขาดแคลน(แพทย์)
***********************************************

หนูจบแพทย์ปี 50 จากมหาวิทยาลัยนเรศวร กลับมาใช้ทุนรพ น. 1 ปี เป็นการใช้ทุนที่เหนื่อยมาก ไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ไปไหน ไม่เคยมีใครได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด แค่กลับบ้านได้ก็ดีมากแล้ว ทุกวันทำงานเป็นเครื่องจักร กิน นอน อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน สระผม ไดร์ผม แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า โทรศัพท์คุยกับครอบครัว ชาร์ทแบตมือถือ ดูทีวี ทำกับข้าว ทั้งหมดนี้ทำที่ห้องพักแพทย์

เหมือนเป็นบ้านหลังที่หนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบและต้องตื่นตัวตลอด อยู่ OT ไม่ต่ำกว่า 30 เวรต่อเดือน (เวรละ 8 ชม ) มีชีวิตอยู่ที่ห้องพักแพทย์ 90 % ของเวลาในชีวิต ทำงานทุกวันเพื่อคนอื่น แต่ไม่เคยได้ดูแลตัวเอง ไม่ได้ทำกิจกรรมที่มนุษย์คนอื่นเขาทำกัน

คำถามที่หมอ intern 1 มีขึ้นทุกคนคือ ทำไมฉันถึงมีชีวิตแบบนี้ คำตอบที่เป็นมาตลอดหลายปีของจังหวัด น. คือหมอไม่พอ ทำไมมันถึงไม่พอสักที ทำไมหมอที่มาturn จังหวัด น. ถึงไม่อยู่จังหวัด น. บางคนขอทุนแล้วไม่กลับมาใช้ทุน ทำไม?

หลังจากทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอด 1 ปี มีความทรงจำว่า ได้ทำงานหนักเหนื่อยมากจริงๆ แต่เราต้องอดทน (แพทย์ถูกสอนมาให้เป็นหมอต้องมีความรับผิดชอบและหมอต้องอดทน) ทำงานที่หนัก เสี่ยงถูกฟ้อง แต่ได้ค่าแรงน้อยกว่าแรงงานขั้นต่ำ แม้ทำงานในจังหวัด น.แต่จำนวนการกลับบ้านเหมือนทำงานอยู่ต่างจังหวัดอันแสนไกล

แต่ข้อดีของ รพ.น.ก็มีหลายอย่าง รพ.น.ได้ความรู้ ให้ทักษะ ความมั่นใจ ในการดูแลคนไข้ในรพช มี staff ที่สนิทสนมกับน้องๆดี สามารถให้คำปรึกษาได้โดยไม่กลัว(มาก) สามารถปรึกษาได้ง่าย ได้ตลอด เมื่อมีคำถามที่สงสัย

พี่staff จะสอนให้อย่างดี ติดตามcase ที่ดูแลร่วมกัน เมื่อเกิดความผิดพลาดพี่staff จะ feedback กลับมาว่าควรทำอย่างไร เป็นประโยชนทำให้ไม่ทำพลาดอีก ที่เราเจอกันง่ายขนาดนี้เพราะส่วนใหญ่staff และน้องๆจะเจอกันในห้องพักแพทย์ กินข้าวเที่ยงด้วยกัน นอนในห้องพักแพทย์เดียวกัน

ข้อดีอีกข้อคือ หมอในจังหวัด น.จะรู้จักกันหมด เมื่อน้องใหม่เข้ามาจะได้รับความสนใจจากพี่ๆ มีกิจกรรมเข้าค่ายรับน้อง 1 เดือน ทำให้พี่ๆได้มีโอกาสรู้จักน้องๆ รู้จักนิสัยของน้องแต่ละคนมากขึ้น พี่ส่วนใหญ่ รวมทั้ง staff จะรู้จักชื่อเล่นของน้อง และเรียกชื่อเล่นของน้อง ทำให้ลักษณะของหมอเมือง น. มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน

ซึ่งเป็นเหตุผลที่ดีอันหนึ่งที่ทำให้ intern 1 น้อยๆ มีชีวิตต่อไปเป็น intern 2 ในอนาคต

หลังจากชีวิต intern 1 ผ่านไป โดยไม่มีความทรงจำอื่นใด นอกจากการมีชีวิตในห้องพักแพทย์และอาณาเขตรพ น. การเริ่มต้นของ intern 2 ในรพชเริ่มขึ้นโดยการเป็นผู้อำนวยการ รพ 30 เตียง ซึ่งเป็นธรรมชาติของจังหวัด น.ที่จะมีหมอ intern เป็นผู้อำนวยการ 8 ใน 12 รพของจังหวัด น.

โดยทั่วไปรพ 30 เตียง ต้องมีแพทย์ประจำ 2-3 คน แต่ปีนี้มีแพทย์ประจำ 1.5 คน ความลำบากของหมอน้อยและหมอใหญ่ที่อยู่ในคนเดียวกันก็ค่อยๆมีมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการเป็นผู้อำนวยการ ที่มีงานบริหารมากมาย มีงานที่ต้องตัดสินใจ เป็นงานที่ต้องใช้ประสบการณ์ และความมีอาวุโส ซึ่งหมอน้อยไม่มี ไม่ได้มีการเรียนการสอนมาก่อน

แต่งานในรพจะต้องดำเนินต่อไป ผลักดันให้หมอน้อยต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้ ส่งผลให้เกิดความเครียด รู้สึกว่าทำคนเดียวไม่ไหว ไม่รู้จะไปทางไหน ทั้งที่ปัญหาการบริหารยังไม่จบก็มีปัญหาใหม่ คำตอบเดิมคือหมอไม่พอ

ทำให้ 6 เดือน ต้องทำงานทั้งบริหารและบริการอยู่คนเดียว Round ward คนเดียว , ออก OPDคนเดียว , ดูแลห้องคลอด คนเดียว , ANC ตรวจ US ฝากครรภ์ คนเดียว , ดูแลcase ฉุกเฉินใน ER คนเดียว ,ทำหัตถการ OR minor คนเดียว, ทำหมัน คนเดียว , ขูดมดลูก คนเดียว ดูแลงานคุณภาพ รวมทั้งดูแลการบริหารด้วยในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีปัญหามากมายซึ่งคนที่ไม่เคยเป็นผู้อำนวยการไม่สามารถที่จะเข้ าใจได้

ปัญหามากมายนี้เคยมีคนหนึ่งพูดว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นเพราะเราสร้างขึ้นมาเหรอ ทำไมคนที่รับภาระปัญหาต้องเป็นเรา ทำไมเราต้องรับปัญหาโดยที่เราไม่ได้เป็นผู้สร้างด้วย เหมือนหาเรื่องใส่ตัว ไม่รู้จะทนไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ทำไมจะต้องทนอยู่กับปัญหาที่เราไม่ได้เป็นคนก่อ ปัญหาอยู่ที่ระบบเหรอ

แล้วระบบคืออะไร คือใคร หน้าตาเป็นยังไง เมื่อไหร่ระบบจะไม่มีปัญหาสักที เมื่อไม่มีคำตอบที่ดี เมื่อไม่มีทางออกอื่น ทางออกอีกทางคือลาออก ไม่ต้องรับภาระนี้อีกต่อไป ไปทำงานที่อยากทำ ไปทำงานที่อื่นที่จะไม่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ เป็นคำตอบที่ตรงประเด็นที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่หมอจะลาออก หรือใช้ทุนแล้วก็จากไป หมอก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คิดจะลาออก เพราะเราเหนื่อยแทบตายจากงานบริหารและบริการ เครียดจนเสียสุขภาพจิตที่ต้องทำงานทุกอย่างคนเดียว อยู่เวรทุกวันเป็นเดือน อดหลับอดนอนจนเสียสุขภาพกาย ไม่รู้ทำไปมากมายขนาดนี้เพื่ออะไร

ทุกวันนี้ทำงานเหนื่อยเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่คนรู้จัก ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่ญาติ แต่คนเหล่านั้นยังคิดที่จะฟ้องเรา ยังคิดกับเราในแง่ร้าย ยังคิดที่จะต่อว่าเรา ว่าหมอทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ซึ่งความจริงแล้ว

ไม่มีหมอคนไหนอยากให้คนไข้ได้รับความเสียหายจากการรักษา ไม่อยากให้คนไข้ได้รับอันตรายใดๆ แต่มันย่อมเกิดความผิดพลาดได้ ซึ่งผู้ป่วยปัจจุบันไม่ยอมรับและโทษว่าความผิดพลาดที่เกิดนั้นเกิดจากหมอทำ ทำให้หมอรู้สึกว่าทำดีเสมอตัว ถ้าทำพลาดมีโอกาสติดคุก

นโยบายในปัจจุบันให้แต่สิทธิ คนไข้รู้แต่ว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง สามารถฟ้องหมอได้ แต่ไม่เคยรู้หน้าที่ของตนเอง ไม่เคยตระหนักอยากจะจำโรคของตัวเอง ไม่ตระหนักจะจำชื่อยาที่แพ้ ไม่เคยตระหนักจะศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคของตนว่าจะดำเนินไปเช่นไร รู้แต่ว่าตนเองมีสิทธิจะไปรพไหนก็ได้

อยากจะได้ใบส่งตัวไปรพจังหวัดหรือรพศูนย์ มีสิทธิจะได้รับการตรวจที่ครบถ้วนทุกๆอย่าง มีสิทธิจะนอนรพได้ ถ้าหมอไม่ให้ตามนั้น ก็แปลว่าหมอทำผิด ถ้าคิดว่าหมอผิดก็ฟ้องหมอได้เลย ซึ่งหมอก็ลำบากใจ เพราะต้องการใช้เงินที่ได้มาน้อยนิดอย่างคุ้มค่าแต่ก็ต้องตามใจคนไข้ ทำให้หมอเครียด ถ้าให้ตามที่ขอทุกอย่างรพก็จะไม่มีเงิน

ถ้าไม่ให้ตามนั้นหมอก็ผิด ส่งผลทำให้หมอ รพช เกิดความเบื่อหน่าย ไม่มีความสุข ต้องการออกจากวงจรนี้ ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในใจของหมอทุกวัน หมอพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เหนื่อยแต่ก็อดทน แต่ถ้าเหนื่อยเกินไป ก็คงจะทนต่อไปไม่ไหว

อาจจะจำใจลาออกในสักวันทั้งที่ไม่อยากทำ....

ความในใจ...หมอน้อยที่ รพช. จังหวัด น

ขอบคุณที่อ่านจนจบ
ความในใจของหมอน้อยคนหนึ่ง
.........................................................................   
ความคิดเห็นที่ 15    
   คนไทยมองอาชีพหมอมีเกียรติสูงกว่าอาชีพอื่น
แต่จริงๆ แล้ว เกียรติไม่ได้อยู่ที่อาชีพ แต่มันอยู่ที่จิตใจคน
คนอาชีพไหนๆ ขอให้ทุ่มเท ซื่อสัตย์ สุจริต ก็มีเกียรติในอาชีพได้

อย่ายกย่องอาชีพหมอ แต่ให้ยกย่องที่คนเป็นหมอที่ทำหน้าที่หมออย่างทุ่มเท ซื่อสัตย์ สุจริต
ผ่านมา
...................................................................   
ความคิดเห็นที่ 4    
   มันไม่ได้อยู่ที่เงินหรือมีชื่อเสียง ลองไปถามหมอที่จบใหม่สิ ถึงแม้จะเพิ่มเงินให้มากขึ้นก็ไม่ทำให้หมอไม่ลาออก อญุ่ที่ระบบของร.พนั้นๆ หมอจบเฉพาะทางทำงานสบายๆ ตรวจคนไข้น้อยมาก หมอจบใหม่โดนส่งไปครวจคนไข้นอกทั้งวันทั้งคืน อยู่เวรอีกทำงานจนไม่ได้พักผ่อน ผิดพลาดมาเสี่ยงกับการโดนฟ้อง ผู้บริหาร ร.พ เองก็ทำแต่งานบริหารกับประชุมอย่างเดียว มันอยู่ที่การเอาเปรียบหมอจบใหม่กับการที่ผู้อำนวยการ ร.พไม่สนใจ เวลาหมอมีปัญหากับคนไข้ ผ.อ ห่วยๆบางคนเชียร์ให้คนไข้ฟ้องหมอจบใหม่เสียเอง วิธีแก้คือต้องลงไปดูสิว่าผู้บริหาร ร.พคนไหนที่มีปัญหาควรย้ายให้หมด หมอลาออกส่วนใหญ่เพราะไม่มีกำลังใจในการทำงานต่างหาก

.................................................................   
ความคิดเห็นที่ 2    
   ความจริงแล้ว ถามก่อนครับ ว่าเรียนแพทย์แล้ว อยากเป็นแพทย์จริงหรือเปล่า ก็เปล่า บางคน แค่พ่อแม่เป็นหมอ เงินดี ก็ให้ลูกเรียนหมอ เอาเงิรรัฐไปอุดหนุน จบมา ไปเป็นนักร้อง ไปเป็นดารา แค่อยากมีเงิน มีชื่อเสียง ไม่มีจิตวิญญาณ คนที่อยากเรียนแพทย์จริงๆ แล้วได้เรียนแพทย์ จะมีสักกี่คน นอกเสียจากช้างเผือกจริง ๆ สอบโควต้าเข้า พอจบ ไปทำงานชนบท ลำบากหน่อย ก็ทนไม่ได้ เปิดคลินิก หาเงินก้อนไม่นาน ก็จ่ายเงินคืนได้แล้ว วังวนมันเป็นอย่างนี้ จะแก้ตรงไหน ก็ไปคิดดู การศึกษา ไม่ได้เพื่อสังคม แต่เพื่อตนเอง ก็คิดเสียแต่ว่า ทำไมล่ะ เงินก็เงินเรา ส่งเสียตัวเองเรียน พอจบแล้วยังไงล่ะ ทำไมจะต้องทำเพื่อคนอื่น อันนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัว หารู้ไม่ว่าเงินรัฐอุดหนุนไปเท่าไหร่ ค่าเรียนแพทย์ต่อหัวมันเท่าไหร่ อันนี้ไม่คิด ก็อยากให้ผู้ที่เป้นบัณฑิตแพทย์ ได้คิด ตรึกตรองดู ว่าจะอยู่อย่างมีเงิน แต่ไร้เกียรติภูมิ หรือจะอยู่อย่างมีเกียรติ ให้สมกับที่ได้เรียนมา จากสถาบันอันทรงเกียรติ และให้รักษาศักดิ์ และสิทธิ์ แห่งปริญญา และจบมารับใช้ประชาชน ดังที่ได้ให้ปฏิญาณไว้ สำหรับผู้ที่กระทำกรรมดีอยู่แล้ว ก็ขอให้ทำดี ยิ่งๆ ขึ้นไป

...................................................................   
ความคิดเห็นที่ 67    

จะอิจฉาเงินเดือนหมอทำไม
จะเรียกร้องให้หมอเสียลสละทำไม

แล้วพวกคุณทำไมไม่เลือกเป็น ไม่เลือกเรียน ไม่เสียสละ

>>> เหตุผลที่เด็กที่ผมเคยสอนพิเศษ ไม่เรียนหมอ

1. ขี้เกียจอ่านหนังสือ ไม่ค่อยมีสมาธิ ไม่ชอบแข่งขัน
2. ไม่อยากผ่าศพ ไม่ชอบเลือด ไม่อยากดูอวัยวะภายใน
3. ไม่อยากอดหลับอดนอน ไม่อยากขยัน
4. อยากเที่ยว ชอบปิ้ง ดูหนัง เรียนสบายๆดีกว่า
5. ไม่อยากใช้ทุน ไปอยู่ในที่ไม่มีไฟ-น้ำไม่ได้
6. พ่อแม่มีเงินเยอะ อยากเรียนบริหาร สืบทอดต่อได้
7. ไม่อย่างเสี่ยงคุก เสี่ยงตาราง
8. พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกเครียดตอนเรียน

แค่อยากจะบอกว่าพวกคุณหมอทั้งหลาย
การลงทุนของพวกคุณสูงกว่าเด็กคนอื่นเยอะครับ
ดังนั้นพวกคุณก็ต้องได้เลือกสิทธิ และเงินเดือนที่ดีกว่า

หมอผิวหนังเอกชนทุกคน ผมชื่นชมนะครับ เงินเดือนสูงกว่าผมหลายเท่าในอายุเท่าๆกัน เท่าที่ทราบในระดับ 2-3 แสน ในขณะที่ตัวผมทำงานแทบตาย เงินเดือนหลักหมื่น ก็แค่เพื่อต่างชาติอ้วนขึ้น มีแค่นี้จริงๆ กับการเปลี่ยนงานเพื่อเงินเดือนที่ดีกว่า บริษัทที่ดีกว่า เพื่อตัวผมคนเดียวจริงๆ ไม่ได้มีค่า มีความเสี่ยงอะไร

ผมก็ยอมรับตอนนั้นหรือตอนนี้โอกาศที่จะติดแพทย์จุฬา มองไม่เห็นจริงๆ สมัยก่อนคนต่ำสุดก็ได้คะแนน7วิชา 76% ถ้าไม่ขยันจริงๆ อย่าได้ฝันแม้แต่จะเลือก

สำหรับคนบางพวกที่มันไม่เคยสละ ไม่มีความอดทน หรือเหตุผลอีกเป็นล้าน ง่ายๆ เห็นแก่ตัว ที่ชอบบอกให้คนอื่นทำเพื่อตนเอง

จะรักษาให้ตาย คนพวกนี้ก็จะเรียกร้องให้รับผิดชอบ หากผลมันผิดพลาด มันก็เป็นวงจรอุบาศที่รัฐเมินเฉย แต่เรียกร้องหมอให้ช่วยเสียสละ แต่เมื่อผิดพลาด ก็เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน

หากคุณมีพ่อแม่ ครอบครัว ลาออกเถอะครับ จะทนวงจรแบบนี้ทำไม ผมเห็นหมอเอกชนมีคุณภาพชีวิตดีมากๆ ทั้งได้รับการเคารพจากคนไข้ มีเวลาตรวจเยอะ ทั้งสิทธิจากบริษัท การเที่ยวนอกฟรี มีเวลากับครอบครัวมาก

เป็นคุณจะเลือกเป็นหมอ
เพื่อเข้ามาเสียสละในวงจรอุบาศแบบนี้หรือเปล่า

สิ่งเดียวที่คุณจะได้ คุณภาพชีวิตย่ำแย่จากการไม่นอนตามปกติ ทำงานหนัก การต้องขึ้นศาลบ่อยๆ การถูกฟ้อง และอีกสารพัดเคสอาการหนักจากคนไข้เมาแล้วขับ

...............................................................   
ความคิดเห็นที่ 18    
   ถ้าไม่อยากใช้ทุน ก็ไม่ต้องเข้าโครงการซิครับ อยากเป็นหมอในเมือง รวยๆ ก็ออกตังค์เรียนเอง ตัดโอกาสคนอื่นทำไม !!!

.................................................................   
ความคิดเห็นที่ 49    
   ถึงท่านที่ด่าทั้งหลาย ผมก็เคยทำงานแบบน้องๆ มาก่อนครับ ตรวจวันละ 70-100 คน หากน้อยกว่านี้คนไข้ล้น อยู่เวร นอนวันละ 2 ชม. เช้าก็ต้องทำงานต่อ ไม่มีวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ทำงานฟรี มาดูคนไข้ตอนเช้า หากเราไม่มีเวรก็เที่ยงกลับ เวรเดือนละ 11 วัน แรกๆ ผมก็ไฟแรง สมัยนั้นทำได้ทุกอย่าง ผ่าตัดก็ทำได้ แต่ทำงานแบบนี้ ตลอดเป็นปี ๆ มันก็ล้านะครับ ไม่ใช่เครื่องจักร ไม่ใช่วัวควาย

ผมทนทำงานอยู่ประมาณ 4-5 ปี สุขภาพมันแย่ลง ไม่ให้เรียนต่อเพราะไม่มีคนทำงาน คนไทยก็ตีค่าหมอทั่วไปเป็นหมอชั้นสอง บวกกับทางบ้านพ่อป่วย เรามีเวลาดูคนอื่นแต่ไม่มีเวลาดูพ่อ แม่ตัวเองไม่ได้ สรุปผมก็เลยออก แต่มารับราชการต่อในที่ที่ใกล้บ้าน และสภาพการทำงานดีกว่า

หมอต้องเสียสละ คำที่หลายๆ ท่านใช้ แต่หมอก็เป็นคนเป็นมนุษย์ปุถุชน ถ้าผมอยากสบายผมไปทำงานเอกชนแล้วครับ แต่ที่จะบอกคือ การที่หมอจะอยู่ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินอย่างเดียว ต้องเห็นใจว่าเราเป็น มนุษย์ เป็นคนไทยเหมือนกัน จะให้เสียสละทุกอย่าง จนตัวตายเนี่ย ผมคงไม่ไหว ถ้าอยากให้ได้แบบที่ว่า อาจจะต้องหา อริยะบุคคลมาเรียน

ก่อนที่จะต่อว่าหมอ โดยเฉพาะภาครัฐบาล หลายๆ ท่านควรมองว่า การไปภาคเอกชนนั้น เงินดีกว่ามาก มีเวลา งานดีกว่า แต่หมอภาครัฐก็ไม่ย้าย หากคิดตามตรรกกะ น่าจะดูว่าโง่ด้วยซ้ำ. แถมยังโดนต่อว่า โดนด่า มีเรื่องร้องเรียนได้มากมาย โปรดเข้าใจ ที่พวกเรายังอยู่เพราะอยู่ด้วยใจ ไม่ใช่เงิน
อดีตหมอชนบท
......................................................................   
ความคิดเห็นที่ 80
   เรามาดูการทำงานของข้าราชการหน่วยอื่นๆกันบ้างงานเริ่ม8.30 8.30มาถึงที่ทำงาน ถ้าเห็นนายมาก็ทำเป็นกระวีกระวาด ถ้านายยังไม่มา ก้ตามสบาย  งานการผิดพลาดทำไม่ถูกก็ไม่เป็นไร ทนถูกนายด่านิดหน่อย ระหว่างทำงานก็คุยเล่นหัวกันอย่างสนุกสนาน ใกล้เที่ยงเตรียมตัวไปกินข้าว
บ่ายโมงกลับมาทำงานก่อนทำงานก็ต้องเมาท์กัน 16.30เตรียมตัวกลับบ้าน งานไม่เสร็จไม่เป็นไรวันรุ่งขึ้นค่อมมาทำต่อ เสาร์อาทิตย์วันเทศกาลหยุดมันทุกตรุษแสนสบายข้าราชการไทย "ยกเว้นหมอและพยาบาลและบุคคลากรต้องทำงานไม่มีเว้นวันเสาร์อาทิตย์  หมอไม่ใช่เครื่องยนต์หรือเครื่องจักร์ พวกเราเอาเปรียบพวกหมอมากเกินไปหรือปล่าว  ข้าราชการหน่วยอื่นยังมีการกินตามน้ำทวนน้ำ หมออยากได้เงินมากขึ้น หมอก็ต้องทำงานหนักขึ้น  เดี่ยวนี้เงินเดือนพวกนายกเทศมนตรีรับกันเกือบแสน ไม่เห็นต้องเรียนจบอะไรมากมายนัก ตอนเป็นหนุ่มก็เข้าบ่อนเล่นการพนัน ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้นิดหน่อย รู้จักยกมือไหว้คนทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก  จริงหรือไม่

..............................................................   
ความคิดเห็นที่ 57          
   ไอ้ที่ด่า ๆ เนี่ย
ไม่เคยเรียนหมอ ไม่เคยเป็นหมอ
ไม่เคยมีลูกเป็นหมอ

การผลิตหมอไม่ใช่ง่าย การเรียนหมอไม่ใช่ง่าย การเป็นหมอก็ไม่ใช่ง่าย ไม่งั้นใครก็ผลิตได้ เรียนได้ เป็นหมอได้ เกร่อเหมือนไปใบปริญญาเกลื่อนเมืองของ สาขา อื่น ขณะนี้
............................................................