ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 15-20 ก.ย.2557  (อ่าน 969 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9775
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 15-20 ก.ย.2557
« เมื่อ: 21 กันยายน 2014, 21:19:19 »
1. คสช. ปรับโครงสร้างเพิ่มจำนวน “มีชัย-สมคิด” ร่วมด้วย พร้อมสั่งยกเลิกตั้ง คกก.คัดเลือก สปช. หวั่นขัด รธน.!

        เมื่อวันที่ 16 ก.ย.มีรายงานว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกประกาศปรับโครงสร้างเพิ่มจำนวนสมาชิก คสช.โดยยกเลิกประกาศฉบับเก่าที่ตั้งสมาชิก คสช.ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค. และออกประกาศฉบับใหม่เมื่อวันที่ 11 ก.ย. พร้อมให้เหตุผลที่เพิ่มจำนวนสมาชิก คสช.ว่า เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของ คสช.เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ สำหรับบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง คสช.ตามประกาศฉบับใหม่ ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ คสช. , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองหัวหน้า คสช. , พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นรองหัวหน้า คสช. , พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นรองหัวหน้า คสช. , พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นรองหัวหน้า คสช. , พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรองหัวหน้า คสช.
      
       ส่วนบุคคลที่เพิ่มเข้ามาเป็นสมาชิก คสช.มี 8 คน ประกอบด้วย พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล , พล.อ. วรพงษ์ สง่าเนตร , พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา , พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ , พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง , พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง , นายมีชัย ฤชุพันธุ์ , นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ยังคงเป็นเลขาธิการ คสช.เช่นเดิม
      
        ส่วนการทำงานของรัฐบาลนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดแรกเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย 37 ตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ที่น่าสนใจ ได้แก่ นายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ,นายไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าฯ ภูเก็ต เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย , นายศิริพงษ์ ห่านตระกูล อธิบดีกรมการปกครอง เป็นอธิบดีกรมที่ดิน ,นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าฯ สงขลา เป็นอธิบดีกรมการปกครอง ,นายพินิจ หาญพาณิชย์ อธิบดีกรมที่ดิน เป็นผู้ว่าฯ สมุทรปราการ เป็นต้น
      
        สำหรับความคืบหน้าการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) นั้น เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) แถลงว่า สำนักงาน กกต.ได้นำรายชื่อจากคณะกรรมการสรรหา สปช.11 ด้านจำนวน 550 รายชื่อ เสนอ คสช.แล้ว ส่วนผลการสรรหาระดับจังหวัด ส่งให้ คสช.แล้ว 41 จังหวัด ที่เหลืออีก 36 จังหวัดจะทยอยส่งให้ต่อไป คาดว่าจะส่งครบทั้ง 77 จังหวัด ภายในวันที่ 23 ก.ย.
      
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 117/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกสมาชิก สปช. จำนวน 14 คน เพื่อทำหน้าที่เลือก สปช.จำนวน 250 คน ก่อนส่งรายชื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ทรงแต่งตั้ง สปช.ต่อไป โดยคณะกรรมการทั้ง 14 คน ประกอบด้วย 1.พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร 2.พล.ร.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ 3.พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย 4.พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง 5.พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร 6.พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต 7.พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ 8.พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา 9.พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร 10.พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ 11.พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ 12.พล.อ.อ.สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์ 13.พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ 14.พล.อ.อุทิศ สุนทร
      
        อย่างไรก็ตาม ให้หลังแค่ 1 วัน(19 ก.ย.) คสช.ก็ได้ออกคำสั่งที่ 121/2557 ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่แต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวทั้ง 14 คน โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากมาตรา 30(6) ของรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 กำหนดให้ คสช.คัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิก สปช.จากบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ จำนวนไม่เกิน 250 คน อำนาจในการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิก สปช.จึงเป็นของ คสช.ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ดังนั้นเพื่อให้กระบวนการคัดเลือกสมาชิก สปช.เป็นไปตามบทบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 และมาตรา 15 แห่ง พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการสรรหาสมาชิก สปช. พ.ศ.2557 คสช.จึงมีคำสั่งยกเลิกคณะกรรมการคัดเลือกสมาชิก สปช.ทั้ง 14 คนดังกล่าว
      
       2. กสท.เข้ม เรียก “NEW1-ฟ้าวันใหม่-พีซทีวี-ทีนิวส์” เตือนระวังละเมิดเอ็มโอยู-หยุดแบ่งฝ่าย-หยุดวิพากษ์เรื่องอดีต-หยุดพาดพิงบุคคลที่ 3!

        เมื่อวันที่ 16 ก.ย. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) ได้เรียกผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม 4 ช่อง ประกอบด้วย NEWS1 ,ฟ้าวันใหม่ ,พีซทีวี และทีนิวส์ มาประชุมพูดคุยและตักเตือนเกี่ยวกับการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ขัดต่อเงื่อนไขตามบันทึกข้อตกลง(เอ็มโอยู) ที่ทั้ง 4 ช่องได้ตกลงไว้กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ในการขออนุญาตออกอากาศ โดยในที่ประชุมมี พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ 1 ในกรรมการ กสทช.และกรรมการ กสท.เป็นประธาน และมีอนุกรรมการด้านเนื้อหาเข้าร่วมประชุมด้วย
      
        ทั้งนี้ คณะทำงานของ กสทช.ได้เปิดคลิปรายการต่างๆ ของทั้ง 4 ช่องที่สุ่มเสี่ยงว่ามีเนื้อหาที่ขัดต่อเอ็มโอยู เช่น การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายประชานิยม การใส่เสื้อแดงและฉากแดงออกอากาศของพิธีกรช่องพีซทีวี ,การขายนกหวีดที่ระลึก การวิพากษ์ถึงนโยบายที่ผิดพลาดและการคอร์รัปชันของรัฐบาลก่อนๆ การตั้งคำถามเกี่ยวกับการให้เปลี่ยนชื่อสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อให้ได้ออกอากาศอีกครั้งของช่องฟ้าวันใหม่ ,การวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทุจริตเลือกตั้ง และการพาดพิงกระทบถึงบุคคลที่ 3 ของช่อง NEWS1
      
        ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ บอกว่า ความจริงตนไม่อยากเรียกผู้ประกอบการและสื่อมวลชนเข้ามาพูดคุย แต่ในสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ อยากให้ทุกคนปฏิบัติตามเอ็มโอยูที่ลงนามไว้อย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตการออกอากาศได้ และว่า ผู้บริหารบ้านเมืองในปัจจุบันมีนโยบายให้เกิดความปรองดอง-สมานฉันท์ ดังนั้นการแสดงถึงอัตลักษณ์ของการแบ่งสีแบ่งฝ่ายจึงไม่ควรออกหน้าจอ นอกจากนี้การใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความเกลียดชังก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมี เนื่องจากอาจจะปลุกอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมให้กลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนรัฐประหาร 22 พ.ค.ได้
      
        ขณะที่นายเถลิง สมทรัพย์ ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ฟ้าวันใหม่ กล่าวในที่ประชุมว่า ขอบคุณที่คณะกรรมการ กสท.เรียกประชุมทำความเข้าใจ และมีตัวอย่างให้เห็นชัดว่า เนื้อหารายการเช่นไรบ้างที่ขัดหรือสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อเอ็มโอยู อย่างไรก็ตามตนอยากให้ทางผู้ตรวจสอบดูรายการทางช่องต่างๆ ให้มากขึ้น และครบถ้วน เพื่อมิให้เกิดการตัดเพียงบางท่อนบางตอนและทำให้เกิดความเข้าใจผิด
      
       3. ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” อดีต บ.ก.นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ 10 ปี คดีหมิ่นสถาบัน!

        เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อายุ 53 ปี อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
      
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 ก.พ.-15 มี.ค.2553 จำเลยเป็น บ.ก.นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย เผยแพร่นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ : เสียงทักษิณ ปักษ์หลังเดือน ก.พ.2553 ที่พิมพ์บทความ คมความคิด ของผู้ใช้นามปากกาว่า “จิตร พลจันทร์” เรื่อง “แผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น” โดยมีเนื้อหาสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารประชาชนจำนวนมากในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 และทรงเป็นผู้วางแผนตระเตรียมสถานการณ์เพื่อสังหารประชาชนจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงภายหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่มีมูลความจริง
      
       และระหว่างวันที่ 1-15 มี.ค.2553 จำเลยยังจัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ ปักษ์หลังเดือน มี.ค.2553 บทความ คมความคิด ของจิตร พลจันทร์ เรื่อง “6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553” เนื้อหาสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพฤติการณ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและเกิดการนองเลือดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง และทรงมีพฤติการณ์ในการควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลของประเทศไทยหลายชุด และยังทรงเป็นผู้วางแผนในการทำลายประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีมูลความจริง
      
       จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58 ,91 และ 112 และขอให้นำโทษจำคุกคดีหมิ่น พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ซึ่งศาลอาญาได้พิพากษาแล้ว มาบวกกับโทษจำคุกคดีนี้ด้วย ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีว่า ตนเป็นเพียงลูกจ้างในนิตยสาร ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 25,000 บาท และจำเลยไม่มีเจตนา ขณะที่นามปากกาคนเขียนบทความ จิตร พลจันทร์ คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้เขียนบทความส่งมายังนิตยสารเป็นประจำและได้มีการตีพิมพ์หลายครั้ง โดยเมื่อจำเลยอ่านบทความแล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์เท่านั้น และเป็นการกล่าวเตือนถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์
      
        ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ม.ค.2556 ว่า แม้เนื้อหาในบทความทั้ง 2 ฉบับ ไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต และเมื่อนำเหตุการณ์มาเชื่อมโยงแล้ว สามารถระบุได้ว่าหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าทรงมีอำนาจเหนือรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลรือน และเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความรุนแรง จึงพิพากษาจำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี และให้นับโทษ 1 ปี คดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง ด้วย รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 11 ปี
      
        ซึ่งต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นบรรณาธิการ และขณะนั้น พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ที่บัญญัติเกี่ยวกับความผิดในฐานะบรรณาธิการ ได้ถูกยกเลิกโดย พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 แล้ว ดังนั้นจำเลย ซึ่งเป็นเพียงบรรณาธิการ ไม่ใช่ผู้ประพันธ์บทความ จึงไม่ต้องรับผิด และว่า บทความของผู้ประพันธ์นามปากกา “จิตร พลจันทร์” นั้น กล่าวถึงระบบอำมาตย์ มิใช่พระมหากษัตริย์
      
        อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องความผิดของจำเลยว่า ได้ตีพิมพ์และจัดจำหน่ายนิตยสารที่บทความมีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน ซึ่งขณะนั้นมีจำเลยเพียงผู้เดียวที่มีอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งบรรณาธิการ การกระทำที่มีการเผยแพร่จัดจำหน่ายดังกล่าวเป็นการกระทำผิด ขอให้ลงโทษจำเลยฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มิใช่การกล่าวหาให้ต้องรับผิดชอบตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ฯ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
      
        ทั้งนี้ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์หรือไม่ ซึ่งจำเลยได้ต่อสู้ว่า เนื้อหาในบทความเป็นการย้อนรอยถึงประวัติศาสตร์และระบบอำมาตย์ แต่คดีนี้อัยการโจทก์มีพยานหลายปาก ทั้งเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดความมั่นคงฯ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และข้าราชการสังกัดสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้าราชการบำนาญของหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งพยานไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และต่างเบิกความสอดคล้องกันว่า เมื่ออ่านบทความดังกล่าวแล้วเข้าใจได้ทันทีว่า มีการเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับสถานการณ์ในอดีต ซึ่งแม้ไม่ได้มีการระบุชื่อชัดเจน แต่บทความมีเนื้อหาทำนองไม่เชิดชูและเสียดสีสถาบัน ขณะเดียวกันการพิมพ์ตัวอักษรในบทความบางคำก็ได้ใช้ตัวดำหนา ยิ่งเป็นการตอกย้ำในการสื่อความหมายมากยิ่งขึ้น ขณะที่เนื้อหาในบทความก็ขัดกับหลักพื้นฐานความรู้และเหตุผลตามประวัติศาสตร์ ศาลจึงเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ฐานกระทำผิดมาตรา 112 รวม 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวม 10 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน และให้นับโทษ 1 ปีคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง ด้วย รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 11 ปี
      
        ด้านนายสมยศ กล่าวหลังฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จะยื่นฎีกาต่อสู้คดี ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และว่า ตนถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้ว 3 ปี 6 เดือน
      
       4. กสทช.ให้ฝ่าย กม.ดูคำร้องช่อง 3 พร้อมไฟเขียวมติ กสท.ให้เคเบิล-ดาวเทียมระงับช่อง 3 ด้าน “ประวิทย์” ขู่ฟ้องศาล ปค.อีก!

        ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) เมื่อวันที่ 8 ก.ย.มีมติ 3 ต่อ 2 ให้มีคำสั่งทางปกครองไปยังผู้ให้บริการโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมให้นำช่อง 3 อนาล็อก ออกจากการให้บริการในโครงข่ายของตนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือคำสั่ง เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อกสิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวีแล้ว หากช่อง 3 อยากออกอากาศในระบบเคเบิลและทีวีดาวเทียมต่อไป ต้องออกอากาศคู่ขนานกับทีวีระบบดิจิตอล เหมือนที่ช่องอื่นๆ ทำ หรือไม่ก็สมัครเป็นทีวีระบบบอกรับสมาชิก(เพย์ทีวี) แต่ผู้บริหารช่อง 3 ปฏิเสธ พร้อมยื่นหนังสือให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ทบทวนมติของ กสท.ที่ให้ช่อง 3 สิ้นสุดการเป็นฟรีทีวี รวมทั้งมติที่ให้เคเบิลและทีวีดาวเทียมนำสัญญาณช่อง 3 ออกจากโครงข่ายภายใน 15 วัน ซึ่ง กสทช.มีกำหนดพิจารณาคำร้องของช่อง 3 ในวันที่ 17 ก.ย.นั้น
      
        ปรากฏว่า ก่อนหน้าจะถึงวันที่ 17 ก.ย. ผู้บริหารบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ หรือช่อง 3 ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการ กสท.เมื่อวันที่ 16 ก.ย. เพื่อหาทางออกกรณีต้องจอดำจากเคเบิลและทีวีดาวเทียมภายใน 15 วัน ซึ่งการประชุมไม่ได้ข้อสรุป โดย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช.และกรรมการ กสท.เผยว่า เบื้องต้นช่อง 3 ยินยอมจะออกคู่ขนานทั้งในระบบอนาล็อกและทีวีดิจิตอลผ่านช่อง 3 เอชดี หรือช่อง 33 แต่เป็นการยอมออกคู่ขนานแบบมีเงื่อนไข เช่น กสทช.ต้องเยียวยาค่าเสียหายในการออกอากาศคู่ขนานทั้งหมดให้แก่ช่อง 3 ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าข้อเสนอของช่อง 3 มากเกินไป จนไม่สามารถยอมรับได้ หากยื่นข้อเสนอแบบนี้ไม่ต้องออกคู่ขนานก็ได้ ปล่อยให้จอดำไปละกัน
      
        ทั้งนี้ วันเดียวกัน(16 ก.ย.) นายทวีศักดิ์ กันสถิตย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชนเฝ้าระวังสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ กสทช.โดยระบุว่า ช่อง 3 ฝ่าฝืนกฎหมายในแง่การเป็นผู้ได้รับสัญญาสัมปทาน แต่กลับมอบสิทธิบริหารจัดการแก่บริษัท บีอีซี เวิลด์ จึงขอให้ กสทช.ฟ้องดำเนินคดีบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ พร้อมสั่งเพิกถอนใบอนุญาตของบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และฟ้องร้องบริษัท บีอีซี เวิลด์ โทษฐานประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งให้ กสทช.ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ สั่งให้บริษัท อสมท ยกเลิกสัญญาสัมปทานกับบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เนื่องจากทำผิดข้อตกลง เป็นผลให้สัญญาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
      
        วันต่อมา(17 ก.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทช.ได้พิจารณาหนังสือคำร้องของช่อง 3 ที่ให้ทบทวนมติของ กสท. ก่อนมีมติให้ช่อง 3 ทำหนังสือยืนยันว่า ผู้ที่ลงนามในหนังสือคำร้องของช่อง 3 นั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจหรือไม่ หากเป็นผู้ที่มีอำนาจ กสทช.จะส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาให้ความเห็น โดยระหว่างที่อยู่ในการพิจารณา ให้มติของ กสท.ยังมีผลบังคับใช้อยู่ นั่นหมายถึง ผู้ให้บริการโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมจะต้องนำช่อง 3 อนาล็อกออกจากโครงข่ายของตนภายใน 15 วัน หรือภายในวันที่ 28 ก.ย.ตามมติของ กสท. ส่วนกรณีที่เครือข่ายภาคประชาชนฯ ยื่นหนังสือขอให้เพิกถอนสัมปทานและใบอนุญาตช่อง 3 นั้น ที่ประชุม กสทช.มีมติให้ส่งเรื่องให้ กสท.พิจารณาต่อไป
      
        ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.บอกว่า ถ้าช่อง 3 ตอบกลับว่าผู้ลงนามในหนังสือคำร้องเป็นผู้มีอำนาจจริง จะส่งเรื่องให้อนุกรรมการด้านที่ปรึกษาทางกฎหมายพิจารณา และนำมาเสนอบอร์ด กสทช.พิจารณาอีกครั้งในการประชุมวาระพิเศษในสัปดาห์หน้า ส่วนการดำเนินการตามคำสั่งทางปกครองของบอร์ด กสท.ที่ให้โครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียม นำช่อง 3 อนาล็อกออกจากโครงข่ายนั้น นายฐากร บอกว่า ทาง กสทช.จะเริ่มดำเนินการเอาผิดผู้ที่ฝ่าฝืนอย่างจริงจังในวันที่ 28 ก.ย.นี้ และจะยึดมาตรการนี้เป็นหลักจนกว่าบอร์ด กสท.จะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น
      
        ด้านนายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหารบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ หรือช่อง 3 ได้ออกมาขู่ว่า หากวันที่ 28 ก.ย.นี้ ช่อง 3 จอดำในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียม อาจต้องไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้คุ้มครองชั่วคราว รวมทั้งฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
      
        อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ช่อง 3 เคยฟ้องต่อศาลปกครองมาแล้ว โดยขอให้เพิกถอนมติของ กสท ที่ให้ช่อง 3 สิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวี พร้อมขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราว เพื่อไม่ต้องจอดำจากระบบเคเบิลและทีวีดาวเทียม ซึ่งศาลมีคำสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราว แต่ทาง กสท.ใจดี ขยายเวลาการเป็นฟรีทีวีให้ช่อง 3 เป็นเวลา 100 วัน กระทั่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 ก.ย. กสท.จึงมีมติไม่ขยายเวลาให้อีก ส่งผลให้ช่อง 3 สิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวี และหมดสิทธิออกอากาศในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมอีกต่อไป สามารถออกอากาศผ่านเสาอากาศหนวดกุ้งและก้างปลาเท่านั้น ซึ่งช่อง 3 ไม่พอใจ และพยายามอ้างเหตุต่างๆ มาต่อรอง กสท. อยู่ในขณะนี้ รวมทั้งการยื่นเรื่องให้ กสทช.เพิกถอนมติ กสท.
      
      

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9775
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 15-20 ก.ย.2557(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 21 กันยายน 2014, 21:19:37 »
5. ข่มขืน-ฆ่าโหด 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า ตั้งรางวัลนำจับ 2 แสน ด้าน “บิ๊กตู่” ขอโทษพูดเรื่องใส่บิกินี!

        สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุสะเทือนขวัญและทำลายภาพลักษณ์สถานที่ท่องเที่ยวของไทย เมื่อนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษชาย-หญิง 2 คนถูกทำร้ายเสียชีวิตที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานีเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 14 ก.ย.ล่วงเข้าวันที่ 15 ก.ย. โดยจุดที่พบศพอยู่บริเวณโขดหินริมชายหาดด้านปลายแหลม จปร.ของหาดทรายรี ผู้เสียชีวิต คือ น.ส.ฮันนาห์ วิคตอเรีย ไวท์ริดจ์ อายุ 24 ปี สภาพศพเปลือยกาย ถูกตีด้วยของแข็งและของมีคมเข้าที่ใบหน้าจนเละ รวมทั้งมีร่องรอยการถูกข่มขืน ส่วนอีกรายคือ นายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ อายุ 24 ปี สภาพศพเปลือยกายเช่นกัน ถูกตีด้วยของมีคม มีบาดแผลฉกรรจ์ที่ต้นคอและท้ายทอย กะโหลกศีรษะแตก นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ พบจอบเปื้อนเลือด และถุงยางอนามัยใช้แล้ว 1 ชิ้น
       
        ด้าน พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอาง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี เผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า นายเดวิด เดินทางมากับเพื่อนชาย 2-3 คน ส่วน น.ส.ฮันนาห์ เดินทางมาพร้อมเพื่อนหญิง 4 คน ทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่ได้เข้าพักที่โอเชี่ยนวิวบังกะโล โดยมีห้องพักติดกัน ซึ่งก่อนเกิดเหตุ ทั้งหมดได้ออกไปร่วมงานปาร์ตี้ที่บริเวณชายหาดหน้าโรงแรม ก่อนที่ผู้ตายทั้งสองคนจะปลีกตัวออกจากงานปาร์ตี้และหายไปด้วยกัน กระทั่งมีผู้พบศพในช่วงเช้า
       
        ทั้งนี้ ตอนแรกตำรวจสันนิษฐานไว้ 2 ประเด็น 1.ทั้งคู่อาจมีเพศสัมพันธ์กันบริเวณโขดหินที่เกิดเหตุ แต่ระหว่างนั้นอาจมีคนร้ายมาพบเห็น แล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ จึงลงมือทำร้ายและข่มขืน หรือ 2.ผู้ก่อเหตุอาจเป็นเพื่อนชายของนายเดวิด เนื่องจากพบรอยขีดข่วนและบาดแผลฉกรรจ์ที่หลังมือเพื่อนชาย โดยผู้ต้องสงสัยอาจเป็นคู่เกย์ของนายเดวิด
       
        หลังเกิดเหตุ ตำรวจได้ส่งศพผู้เสียชีวิตไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ขณะเดียวกันได้พยายามหาตัวผู้ต้องสงสัยทุกทาง แทบจะปิดเกาะเต่าเพื่อหาตัวคนร้าย นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดใกล้สถานบันเทิง เอซีบาร์ พบชายต้องสงสัย 1 คน ลักษณะรูปพรรณเป็นชาวเอเชีย สูงประมาณ 160-170 ซม.สวมกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อเดินวนเวียนไปมาหลายรอบ และได้เดินไปทางชายหาด จปร. เส้นทางเดียวกับที่ผู้เสียชีวิตถูกทำร้าย ซึ่งภายหลังมีภาพวิ่งกลับมาแบบผิดปกติ
       
        วันต่อมา(16 ก.ย.) ตำรวจได้เข้าตรวจค้นห้องพักคนงานชาวพม่าของรีสอร์ทอินทัตจำนวน 9 ห้อง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดประมาณ 300 เมตร พบโทรศัพท์ไอโฟน 4 เครื่อง โดย 2 เครื่องหน้าจอแตก นอกจากนี้ยังพบกางเกงยีนส์เปื้อนเลือด 1 ตัว จึงควบคุมตัวคนงานต้องสงสัยไปสอบปากคำ 6 คน พร้อมตรวจร่างกายและเก็บดีเอ็นเอไว้ ก่อนปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมด
       
        ด้านสถาบันนิติเวช เผยผลชันสูตรศพชาวอังกฤษทั้ง 2 รายว่า สาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.ฮันนาห์ พบบาดแผลที่ศีรษะ มีร่องรอยการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเสียชีวิต พบตัวอสุจิทั้งในช่องคลอดและทวารหนัก ซึ่งภายหลังพบว่า เป็นอสุจิของบุคคล 2 คน ส่วนนายเดวิดเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายที่ศีรษะและจมน้ำด้วย เนื่องจากพบน้ำในปอด แต่ไม่พบร่อยรอยว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ยังพบบาดแผลที่หลังมือทั้งสองข้าง คาดว่ามีการต่อสู้ ส่วนที่ด้านหลังมีรอยครูด คาดว่าเกิดจากการลากศพ
       
        ทั้งนี้ ตำรวจได้นำก้นบุหรี่ที่พบใกล้ที่เกิดเหตุ 3 มวนไปตรวจดีเอ็นเอ พบว่า มี 1 มวนที่มีดีเอ็นเอผสมของคน 2 คน และตรงกับดีเอ็นเอที่พบในอสุจิที่ร่างของ น.ส.ฮันนาห์ อย่างไรก็ตาม ดีเอ็นเอในอสุจิยังไม่ตรงกับผู้ต้องสงสัยรายใดเลย ส่งผลให้ตำรวจต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในการหาพยานหลักฐาน
       
        ส่วนการสอบปากคำและตรวจดีเอ็นเอนายคริสโตเฟอร์ อลัน แวร์ ชาวอังกฤษเพื่อนของนายเดวิด พบว่าไม่ตรงกับอสุจิที่ร่างผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าพบกางเกงเปื้อนเลือดที่นายคริสโตเฟอร์ใส่ อยู่ในกระเป๋าเดินทางของนายเดวิดนั้น ภายหลังมีการระบุว่าเปื้อนคราบโคลน ไม่ใช่เลือด ซึ่งล่าสุด ตำรวจได้อนุญาตให้นายคริสโตเฟอร์เดินทางกลับประเทศแล้ว แต่ทางสถานทูตอังกฤษพร้อมประสานติดตามตัวให้ หากตำรวจไทยต้องการในภายหลัง
       
        ขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อรับศพผู้เสียชีวิตทั้งสองกลับไปทำพิธีที่ประเทศอังกฤษแล้ว โดยครอบครัวไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของบุคคลทั้งสอง แต่ยังทำใจยอมรับกับความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุทำร้ายนักท่องเที่ยวเสียชีวิตบนเกาะเต่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้พูดทำนองเตือนเกี่ยวกับการใส่บิกินีของฝรั่งที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยได้ “เขาคิดว่าประเทศของเราสวยงาม ปลอดภัย ดังนั้นจะแต่งบิกินีหรือเดินไปที่ไหนก็ได้ ถามว่าแต่งบิกินีในประเทศไทยจะรอดไหม เว้นแต่ไม่สวย...”
       
       ทั้งนี้ คำพูดดังกล่าวทำให้สื่อของอังกฤษข้องใจคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมองว่ามีลักษณะดูหมิ่นผู้เสียชีวิต ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบออกมาขอโทษ พร้อมชี้แจงว่าไม่ได้ดูถูกหรือว่าใคร เพียงแต่เตือนว่าบางครั้งต้องระมัดระวังบ้างเช่นกัน บางสถานที่หรือบางเวลา “ยอมรับว่าบางครั้งผมพูดแรงไปเพราะกดดัน เนื่องจากเสียใจกับคนตายและคนเจ็บ ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติก็เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้เกิดความสูญเสียขึ้นมาอีก...” พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศร่างสารแสดงความเสียใจ เพื่อส่งไปยังสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย โดยแสดงความเสียใจที่มีนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเสียชีวิตที่เกาะเต่า รวมทั้งขอโทษกรณีพูดถึงการใส่บิกินี ซึ่งไม่ได้ต้องการดูหมิ่นใคร แต่ต้องการให้นักท่องเที่ยวปลอดภัย
       
        สำหรับความคืบหน้าทางคดี เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ตำรวจได้สอบปากคำหัวหน้าแรงงานชาวพม่าบนเกาะเต่า พร้อมนำแรงงานชาวพม่าชายที่มีอยู่ประมาณ 4,000 คน มาตรวจสอบเพื่อติดตามตัวผู้ต้องสงสัยในภาพวงจรปิด ซึ่งภายหลัง พล.ต.ต.เกียรติพงษ์ ขาวสำอาง ผบก.ภ.จังหวัดสุราษฎร์ธานี เผยว่า “ชุดคลี่คลายคดีมีความคืบหน้าได้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัย อยู่ระหว่างตรวจสอบความเชื่อมโยงกับพยานหลักฐานที่ได้มา แต่หลังเกิดเหตุมีผู้พยายามสร้างกระแสให้ตำรวจไขว้เขว ซึ่งเป็นคนไทยทำงานอยู่ในร้านอาหารบนเกาะเต่า”
       
        ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.ย. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เกาะเต่า เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี พบว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยหลายคน รวมทั้งดีเอ็นเอที่พบที่ผู้เสียชีวิต ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่ประเทศสิงคโปร์ช่วยพิสูจน์ ทราบแล้วว่า เป็นดีเอ็นเอของคนเอเชีย ซึ่งขณะนี้ตำรวจได้ตรวจดีเอ็นเอของแรงงานต่างด้าวเสร็จสิ้นไปแล้ว 30 ราย พร้อมมั่นใจว่าจะสามารถจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้แน่นอน นอกจากนี้ พล.ต.อ.สมยศ ยังได้ตั้งรางวัลนำจับคนร้ายเพิ่มอีก 1 แสนบาท จากที่ก่อนหน้านี้ทางผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวได้ตั้งรางวัลนำจับไว้ 1 แสนบาท รวมเป็น 2 แสนบาท

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    21 กันยายน 2557